“การจดบันทึกการเทรด” อาจฟังดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ที่มักจะมองข้ามขั้นตอนนี้ไปเพราะคิดว่าไม่มีความจำเป็นหรือยุ่งยากเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว การจดบันทึกการเทรดเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนมืออาชีพทำอย่างสม่ำเสมอ
เพราะการจดบันทึกการเทรดมีอะไรที่มากกว่าการบันทึกตัวเลขกำไรขาดทุนเท่านั้น การจดบันทึกการเทรดจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงที่มาของกำไรขาดทุนว่ากลยุทธ์ที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพหรือไม่ และตัวนักลงทุนเองสามารถปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์การเทรดได้ดีแค่ไหน
หากอยากเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ และอยากก้าวข้ามข้อผิดพลาดซ้ำ ๆ เดิม ๆ การจดบันทึกการเทรดจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของพฤติกรรมการเทรดของตัวเอง และเข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของกลยุทธ์การเทรดที่ใช้อยู่ได้ดียิ่งขึ้น
การจดบันทึกการเทรด หรืออาจจะรู้จักกันในชื่อ “Trading Journal” หรือ “Trading Record” คือ การจดบันทึกกิจกรรมการซื้อขายของตัวเองในแต่ละครั้ง การจดบันทึกการเทรดไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน เพราะหัวใจของการจดบันทึกการเทรดอยู่ที่วินัยของเทรดเดอร์เป็นหลัก เทรดเดอร์สามารถจดบันทึกการเทรดในโปรแกรมมาตรฐานอย่าง Microsoft Excel หรือ Google Sheets ได้เลย
การเทรดโดยไม่มีแผนการเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังฝากความหวังไว้กับโชคชะตามากกว่ากลยุทธ์การเทรด และถึงแม้เราจะมีแผนการเทรดที่ดีแค่ไหน แต่หากขาดวินัย ไม่ทำตามแผนที่วางไว้ ผลลัพธ์ก็อาจไม่ต่างจากการไม่มีแผนเลยเช่นกัน อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาด
เช่น ตัดสินใจขายทำกำไรก่อนถึงเป้าหมายที่วางไว้ เพราะกลัวว่าราคาอาจย่อตัวลง หรือการยอมขาดทุน ขายออกทันที เมื่อราคาหลุดจุด Stop Loss
การจดบันทึกการเทรดเปรียบเสมือนสมุดบันทึกบทเรียนส่วนตัวที่ช่วยให้เราย้อนกลับมาดูข้อผิดพลาดหรือความสำเร็จในอดีตได้อย่างละเอียด ซึ่งข้อผิดพลาดในการเทรดนั้นมักเกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่
ดังนั้น หากเราจดบันทึกการเทรดอย่างสม่ำเสมอ เราจะมีข้อมูลมากพอที่จะนำมาสรุปผลว่าปัญหาของกลยุทธ์การเทรดของเราอยู่ที่ตรงไหน
แม้ว่าเราจะมีวินัยในการเทรดที่ดี และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ ไม่มีกลยุทธ์ใดที่สมบูรณ์แบบหรือทำกำไรได้ทุกสถานการณ์ ราคาสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแต่ละกลยุทธ์ก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน
การจดบันทึกการเทรดจะช่วยใหเราเห็นภาพชัดเจนว่า กลยุทธ์การเทรดที่ใช้อยู่มีจุดแข็งเมื่อราคาสินทรัพย์เป็นแบบไหน และมีจุดอ่อนหรือข้อจำกัดในสถานการณ์ใดบ้าง เช่น กลยุทธ์บางประเภทอาจทำกำไรได้ดีในช่วงที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มชัดเจน แต่กลับขาดทุนในช่วงราคา Sideway หรือราคาแกว่งตัวออกข้าง
จะเห็นว่า เมื่อมีข้อมูลย้อนหลังที่ละเอียดพอ จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติ รู้จุดแข็ง-จุดอ่อนของกลยุทธ์ที่ใช้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ และวางแผนการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
ข้อมูลที่นักลงทุนควรบันทึก ไม่มีกฎตายตัวว่าต้องบันทึกอะไรบ้าง สามารถปรับให้เหมาะกับเป้าหมายของแต่ละคนได้ โดยทั่วไป สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
สไตล์การเทรดมีหลายประเภท เช่น Run Trend, Swing Trade, Day Trade เป็นต้น ก่อนอื่นเราต้องค้นหาสไตล์การเทรดของตัวเองให้เจอก่อน เพราะแต่ละสไตล์ก็มีวิธีการเทรดที่แตกต่างกัน เมื่อค้นหาเจอแล้ว ก็ต้องจดบันทึกว่าการเข้าซื้อขายด้วยกลยุทธ์อะไร มีจุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ตรงไหน
จุดประสงค์คือการจัดหมู่กลยุทธ์การเทรดเพื่อนำมาทบทวนย้อนหลังว่ากลยุทธ์นี้ทำผลตอบแทนได้เท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อนำมาพิจารณาต่อว่าควรจะใช้กลยุทธ์นี้ต่อไปหรือไม่ และหากใช้กลยุทธ์นี้ต่อไป มีจุดไหนที่ควรพัฒนาเพิ่มเติมหรือไม่
ชื่อสินทรัพย์ ราคา วันเวลาที่มีการซื้อขาย และกำไรหรือขาดทุนหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) จากการเทรดในแต่ละครั้ง
การบันทึกรูปภาพประกอบไว้ด้วยจะทำให้การทบทวนผลการเทรดย้อนหลังทำได้ง่ายยิ่งขึ้น และจะมีส่วนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถสังเกตพฤติกรรมของกลยุทธ์ทั้งก่อนและหลังเข้าเทรดได้อย่างละเอียด
การจดบันทึกการเทรด ช่วยป้องกันไม่ให้เราหลงลืมความผิดพลาดหรือจดจำรายละเอียดคลาดเคลื่อน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำของเราอาจไม่แม่นยำหรือเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การเขียนบันทึกไว้จะช่วยให้ย้อนกลับมาทบทวนได้อย่างถูกต้อง
จากตัวอย่างบันทึกการเทรดข้างต้น มีการกำหนดกลยุทธ์การเข้าซื้อด้วยวิธีการ Breakout ผ่านกรอบบนของรูปแบบ Ascending Triangle จึงเข้าซื้อที่ราคา 116.00 บาท โดยกำหนดจุดขายกำไร (จุด Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (จุด Stop Loss) โดยใช้ Average True Range (ATR)
ดังนั้น จึงกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ 3ATR ที่ราคา 111.50 บาท และกำหนดจุดขายทำกำไรโดยใช้ Reward/Risk 3 เท่า คาดว่าจะขายทำกำไรที่ราคา 129.50 บาท แต่ข้อสังเกตคือราคาปรับตัวขึ้นไปไม่ถึงจุด Take Profit แต่สามารถขายออกมาก่อนได้ เมื่อราคาหลุดเส้น Uptrend Line ที่บริเวณ 122.00 บาท
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจศึกษาวิธีการกำหนดจุด Stop Loss ด้วยการใช้เส้น Trend Line หรือการใช้ Indicator อย่าง Average True Range (ATR) ได้ฟรีบน SET e-Learning หลักสูตร “ตลาดผันผวน อ่านกราฟเป็น เห็นโอกาสทำกำไร”
จากตัวอย่างการบันทึกซื้อขายของ Ascending Triangle มีสิ่งที่นักลงทุนสามารถคิดต่อยอดเพื่อปรับปรุงแผนการเทรดในเบื้องต้นได้ 3 กรณี
การที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นไปไม่ถึงจุด Take Profit ที่เรากำหนดไว้ อาจเกิดจากการที่เราตั้งราคาเป้าหมาย (Target Price) ที่สูงเกินไป อาจพิจารณาปรับลด Reward/Risk ลงจาก 3 เท่าเป็นเหลือ 2 เท่า
จะเห็นว่าเมื่อราคาหลุดเส้น Uptrend Line ลงมาเพียงแค่ 1-2 วัน ก็สามารถกลับไปยืนเหนือเส้น Uptrend Line ได้อีกครั้ง และขึ้นทดสอบราคา High เดิมที่ 128.00 บาท หากรอขายที่บริเวณราคา High เดิมจะทำให้ได้กำไรมากขึ้น เมื่อเทียบกับจุดที่ขายไป
นอกจากกลยุทธ์การเทรดที่เลือกใช้แล้ว ควรพิจารณาการใช้ Indicator เพื่อเป็นตัวช่วยในหาจุดขาย เช่น การหาจุดกลับตัวด้วย RSI หาก RSI เริ่มมีการส่งสัญญาณ Bearish Divergence ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงจะเป็นจังหวะ Take Profit แม้ว่าราคาจะยังไม่ถึงเป้าหมายก็ตาม
แม้การบันทึกตัวอย่างการเทรดเพียง 1 ครั้ง อาจยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเราควรปรับเปลี่ยนแผนการเทรดในจุดใด แต่การสังเกตและตั้งคำถามจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนากลยุทธ์ การมีข้อมูลบันทึกที่ละเอียดจะช่วยให้เราสามารถย้อนกลับมาวิเคราะห์ซ้ำได้ เมื่อมีการเทรดในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกในอนาคต ยิ่งมีข้อมูลการเทรดมาก ก็ยิ่งเห็นแนวโน้มและรูปแบบพฤติกรรมที่ชัดเจนขึ้น ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล และปรับปรุงแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว
อยากรู้ไหม? เทรดเดอร์มืออาชีพใช้กราฟเทคนิค เทรดอย่างไรให้แม่นยำ มาถอดรหัสวิธีคิด (Mindset) และกลยุทธ์ของแต่ละสไตล์การเทรด ไม่ว่าจะเป็น Run Trend/Trend Following, Swing Trade หรือ Day Trade รวมถึงวิธีรับมือกับตลาดแต่ละแบบ ทั้งตลาดผันผวนและตลาด Sideway เรียนฟรี บน SET e-Learning กับซีรีส์ไอเดียเทรดกราฟเทคนิค