ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนยอดนิยมของคนไทย เนื่องจากให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กับการออมเงินระยะยาวในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิ์การซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือ LTF เดิมเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ในการบริหารเงินลงทุนหลังครบกำหนดถือครอง
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และสนับสนุนให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุนไทย รัฐบาลจึงเปิดทางเลือกใหม่ “กองทุน ThaiESGX (Thai ESG Extra)” ขึ้นมา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถือ LTF เดิมสามารถ “สับเปลี่ยน” หน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ ไปยังกองทุน Thai ESGX พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
หลังจากที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ LTF เดิมสิ้นสุดลง อาจลังเลว่า จะถอนเงินลงทุนออกหรือจะคงไว้ในตลาดหุ้นไทยต่อไปดี ล่าสุด ภาครัฐได้ออกมาตรการใหม่เปิดทางเลือกให้ “สับเปลี่ยน” LTF ที่ถืออยู่ ไปยังกองทุน Thai ESGX ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 500,000 บาท ในรอบใหม่ แต่ยังเป็นการต่อยอดเงินออมเข้าสู่หุ้นกลุ่มยั่งยืนที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ซึ่งมาตรการนี้ไม่ได้บังคับ แต่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจด้วยตนเอง และหากสนใจใช้สิทธิประโยชน์นี้ ต้องเข้าใจเงื่อนไขที่สำคัญก่อนลงมือสับเปลี่ยน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสและรักษาผลประโยชน์สูงสุด
การสับเปลี่ยนกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
หากมูลค่า LTF ที่สับเปลี่ยนเกิน 500,000 บาท ส่วนที่เกินจะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อน แต่ยังต้องถือครองครบ 5 ปี
หน่วยลงทุน Thai ESGX ที่ได้จากการสับเปลี่ยนต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวันจากวันที่สับเปลี่ยน) หากขายก่อนครบกำหนด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี
สามารถสับเปลี่ยน LTF จากหลาย บลจ. มารวมไว้ที่ Thai ESGX กองทุนเดียวได้ แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไขกับแต่ละบลจ.ก่อนดำเนินการ
กระนั้นก็ดี ก่อนจะตัดสินใจสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “แล้วจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอะไรบ้าง” เพราะสิทธิ์ลดหย่อนภาษีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การลงทุนในกองทุนรูปแบบนี้คุ้มค่าและน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับการสับเปลี่ยนในรอบนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการจูงใจที่ให้วงเงินลดหย่อนสูงสุดถึง 500,000 บาท พร้อมเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับกองทุนรูปแบบอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุนไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
นักลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามจำนวนเงินที่โอนจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยแบ่งเป็น
รวมแล้วจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทตลอดโครงการ
เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี หน่วยลงทุน Thai ESGX ที่ได้รับจากการสับเปลี่ยนต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) หากขายก่อนครบกำหนด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอาจต้องเสียเบี้ยปรับตามกฎหมาย
หมายความว่า การสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX จึงไม่ใช่แค่การต่ออายุสิทธิ์ลดหย่อนภาษี แต่ยังเป็นโอกาสในการวางแผนการเงินระยะยาวอย่างรอบคอบและคุ้มค่าอีกด้วย
ด้วยเงื่อนไขสำคัญของ Thai ESGX ที่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และบางคนอาจถือ LTF เกินกว่า 500,000 บาท ราชันย์ ตันติจินดา CFP® K Wealth ธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจโอน LTF ไป Thai ESGX อย่างรอบคอบ
ในกรณีที่มีเงินลงทุน LTF มากกว่า 500,000 บาท เช่น 1 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานลดหย่อนสิทธิใหม่ แต่ส่วนที่ใช้สิทธิได้ (500,000 บาทแรก) ก็ยังทำให้ได้รับเงินคืนภาษีเฉลี่ยปีละ 2.5 - 3.5% ของมูลค่า LTF ทั้งก้อน ดังนั้น ก็ยังถือว่าคุ้มในการถือต่อ 5 ปี เช่นกัน” ราชันย์ กล่าว
ทางเลือกลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุน Thai ESGX กองทุน Thai ESG และประกันชีวิตแล้ว หลักๆ จะเป็นกองทุน RMF ที่ต้องถือและลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดังนี้
ก่อนจะตัดสินใจสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX หลายคนอาจกำลังชั่งใจว่าทางเลือกนี้ “คุ้มค่า” หรือ “เหมาะสม” กับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองหรือไม่ เพราะแม้จะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจ แต่ก็มีเงื่อนไขและข้อพิจารณาหลายประการที่ต้องชั่งน้ำหนักให้รอบด้าน
ดังนั้น ควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงิน สภาพคล่อง และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองก่อนตัดสินใจ หากมั่นใจว่าตอบโจทย์เป้าหมายและข้อจำกัดของตัวเอง การสับเปลี่ยนครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่คุ้มค่าและสร้างโอกาสในระยะยาว
รู้จักกองทุน Thai ESG แบบเจาะลึก พร้อมแนวคิดในการตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี ผ่าน e-Learning หลักสูตร “เจาะลึกกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่