เมื่อพูดถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่าจะกระทบกับค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้ว การปรับตัวรับมือกับ VAT ที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่เราเข้าใจและเตรียมพร้อม ก็สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาทุกครอบครัวไปรู้จักวิธีจัดการเงินอย่างชาญฉลาด พร้อมเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณรับมือกับ VAT ได้อย่างสบายใจ และยังมีเงินเหลือเก็บด้วย
การทานอาหารนอกบ้านจะมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT ดังนั้น ค่าอาหารจะเพิ่มขึ้น หากมีการปรับ VAT เพิ่มขึ้น
สินค้าในชีวิตประจำวันจะมีราคาสูงขึ้น ตั้งแต่ของใช้ในบ้านไปจนถึงของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาซักผ้า ที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต จะมีราคาเพิ่มตามอัตรา VAT ใหม่
บริการที่ใช้ประจำ ทั้งค่าโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต แพ็กเกจมือถือ จะมีราคาสูงขึ้น แม้จะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกันทั้งปีอาจเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ
ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่จ่ายทุกเดือนจะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตรา VAT ใหม่ ยิ่งใช้มาก ยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
งานซ่อมแซมต่าง ๆ ทั้งบ้านและรถยนต์จะมีราคาแพงขึ้น เพราะทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่จะรวม VAT ในอัตราใหม่ การบำรุงรักษาตามกำหนดจะช่วยลดค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในอนาคตได้
การทำบัญชีไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เริ่มจากจดทุกรายการที่จ่ายในแต่ละวัน แม้แต่ค่าขนมเพียง 20 บาท จากนั้นแบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย จะช่วยให้เห็นภาพรวมค่าใช้จ่ายและหาจุดที่ประหยัดได้ง่ายขึ้น
ลองนึกถึงค่าใช้จ่ายแต่ละรายการว่า “ถ้าไม่จ่ายแล้วจะเป็นอย่างไร” รายจ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ต้องจ่ายก่อน ส่วนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ชอปปิงเสื้อผ้า กินร้านหรู ควรพิจารณาลดลงหรือตัดออก
สำรวจสิ่งของที่ต้องใช้ในระยะยาว โดยเฉพาะของใช้ที่ไม่เน่าเสีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาซักผ้า หรือสินค้าราคาสูงที่วางแผนจะซื้ออยู่แล้ว เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรทยอยซื้อก่อน VAT ปรับขึ้น จะช่วยประหยัดได้มาก
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยประหยัดได้ เช่น ทำอาหารทานเองแทนการซื้อ นำกล่องข้าวไปทำงาน หรือใช้แอปพลิเคชันติดตามโพรโมชันและส่วนลด การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังอาจได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย
เมื่อ VAT ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงไม่ใช่แค่การประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ต้องมองไปถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวด้วย หลายคนอาจกังวลว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้ แต่หากรู้จักวางแผนการออมและการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแค่รับมือกับ VAT ที่สูงขึ้นได้ แต่ยังมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้อีกด้วย
เมื่อ VAT เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพก็จะสูงตามไปด้วย สมมติว่าปกติใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท เมื่อ VAT เพิ่ม ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มเป็น 31,500 บาท หมายความว่าต้องเตรียมเงินเพิ่มอีก 1,500 บาทต่อเดือน หรือ 18,000 บาทต่อปี การเริ่มออมเพิ่มตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้มีเงินเพียงพอเมื่อถึงเวลานั้น
ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินสำรองฉุกเฉินยิ่งมีความสำคัญ ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 – 12 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น หากใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท ควรมีเงินสำรองประมาณ 180,000 – 360,000 บาท วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ตั้งเป้าเก็บเงิน 10 – 20% ของรายได้ทุกเดือน และฝากในบัญชีที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อไม่ให้นำมาใช้ในยามปกติ
เมื่อ VAT เพิ่มขึ้น เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มสูงขึ้นตาม การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำอาจไม่เพียงพอ ควรพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น บัญชีฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น พันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก
การมีแหล่งรายได้หลายทาง จะช่วยรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ เช่น กอง REITs ที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เป็นต้น
เลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อโดยเฉพาะ เช่น กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่อ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ซึ่งมักปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ
ไม่ควรใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี
หาก VAT ปรับตัวสูงขึ้น การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพถือเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารเงิน การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ไม่เพียงช่วยลดหย่อนภาษีได้ ยังเป็นการสร้างวินัยการออมในระยะยาว นอกจากนี้ การทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ หรือการบริจาคให้องค์กรการกุศลก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ที่สำคัญ อย่าลืมติดตามสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้มีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับรับมือกับ VAT ที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
การวางแผนการเงินที่ดีเปรียบเสมือนการเดินทาง ไม่ใช่แค่การกำหนดจุดหมาย แต่ต้องคอยสังเกตและปรับเส้นทางระหว่างทางด้วย โดยเฉพาะหาก VAT ปรับตัวสูงขึ้น การติดตามและปรับแผนการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
การติดตามค่าใช้จ่ายในยุคดิจิทัลทำได้ง่ายขึ้นมาก โดยสามารถใช้แอปพลิเคชันบันทึกค่าใช้จ่าย สิ่งสำคัญ คือ ต้องบันทึกทันทีที่จ่ายเงิน แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เช่น ค่าขนม 20 บาท หรือค่ากาแฟ 45 บาท เพราะค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ เหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วอาจเป็นจำนวนที่มากในแต่ละเดือน และหาก VAT เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที
อีกทั้ง การวิเคราะห์รูปแบบการใช้จ่ายทุกเดือนจะช่วยให้เห็นโอกาสในการประหยัด เช่น หากพบว่าค่าอาหารกลางวันสูงเกินไป อาจเริ่มเตรียมอาหารกล่องไปทำงาน หรือหากค่าเดินทางสูง อาจพิจารณาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถส่วนตัว
นอกจากนี้ ควรมีแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การสูญเสียรายได้ หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน การมีเงินสำรองฉุกเฉินและประกันที่เหมาะสมจะช่วยให้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดีขึ้น และเมื่อ VAT ปรับตัวสูงขึ้น อาจต้องปรับเป้าหมายการออมและการลงทุนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลง เช่น เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หรือหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม เพราะหากติดตามและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้น VAT หรือความท้าทายทางการเงินอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต