เคล็ดลับจัดการเงิน เมื่อ VAT ขยับ

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
17 ธันวาคม 2567
836 views
TSI_Article_646_Inv_Thumbnail
Highlights
  • การปรับตัวรับมือกับการขึ้น VAT ไม่ใช่เรื่องยาก โดยต้องเข้าใจและเตรียมพร้อมเพื่อวางแผนการเงินอย่างมั่นใจ

  • ผลกระทบของ VAT ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และค่าบริการต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวโดยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย แยกประเภทค่าใช้จ่าย เป็นต้น

  • การวางแผนการออมและการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับ VAT ที่สูงขึ้น โดยควรปรับเป้าหมายการออม สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน และพิจารณาช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม

เมื่อพูดถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่าจะกระทบกับค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้ว การปรับตัวรับมือกับ VAT ที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่เราเข้าใจและเตรียมพร้อม ก็สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาทุกครอบครัวไปรู้จักวิธีจัดการเงินอย่างชาญฉลาด พร้อมเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณรับมือกับ VAT ได้อย่างสบายใจ และยังมีเงินเหลือเก็บด้วย

1. ผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น

  • ค่าอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหาร

การทานอาหารนอกบ้านจะมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT ดังนั้น ค่าอาหารจะเพิ่มขึ้น หากมีการปรับ VAT เพิ่มขึ้น

  • ค่าสินค้าอุปโภคบริโภค

สินค้าในชีวิตประจำวันจะมีราคาสูงขึ้น ตั้งแต่ของใช้ในบ้านไปจนถึงของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาซักผ้า ที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต จะมีราคาเพิ่มตามอัตรา VAT ใหม่

  • ค่าบริการต่าง ๆ

บริการที่ใช้ประจำ ทั้งค่าโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต แพ็กเกจมือถือ จะมีราคาสูงขึ้น แม้จะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกันทั้งปีอาจเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ

  • ค่าสาธารณูปโภค

ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่จ่ายทุกเดือนจะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตรา VAT ใหม่ ยิ่งใช้มาก ยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

  • ค่าซ่อมแซมบ้านและรถยนต์

งานซ่อมแซมต่าง ๆ ทั้งบ้านและรถยนต์จะมีราคาแพงขึ้น เพราะทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่จะรวม VAT ในอัตราใหม่ การบำรุงรักษาตามกำหนดจะช่วยลดค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในอนาคตได้

แนวทางการปรับตัว

  • จัดทำบัญชีรายรับ รายจ่ายอย่างละเอียด

การทำบัญชีไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เริ่มจากจดทุกรายการที่จ่ายในแต่ละวัน แม้แต่ค่าขนมเพียง 20 บาท จากนั้นแบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย จะช่วยให้เห็นภาพรวมค่าใช้จ่ายและหาจุดที่ประหยัดได้ง่ายขึ้น

  • แยกประเภทรายจ่ายที่เป็นจำเป็นและไม่จำเป็น

ลองนึกถึงค่าใช้จ่ายแต่ละรายการว่า “ถ้าไม่จ่ายแล้วจะเป็นอย่างไร” รายจ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ต้องจ่ายก่อน ส่วนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ชอปปิงเสื้อผ้า กินร้านหรู ควรพิจารณาลดลงหรือตัดออก

  • วางแผนการซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อน VAT ขึ้น

สำรวจสิ่งของที่ต้องใช้ในระยะยาว โดยเฉพาะของใช้ที่ไม่เน่าเสีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาซักผ้า หรือสินค้าราคาสูงที่วางแผนจะซื้ออยู่แล้ว เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรทยอยซื้อก่อน VAT ปรับขึ้น จะช่วยประหยัดได้มาก

  • หาทางเลือกในการประหยัด

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยประหยัดได้ เช่น ทำอาหารทานเองแทนการซื้อ นำกล่องข้าวไปทำงาน หรือใช้แอปพลิเคชันติดตามโพรโมชันและส่วนลด การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังอาจได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

2. วางแผนการออมและการลงทุน

เมื่อ VAT ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงไม่ใช่แค่การประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ต้องมองไปถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวด้วย หลายคนอาจกังวลว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้ แต่หากรู้จักวางแผนการออมและการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแค่รับมือกับ VAT ที่สูงขึ้นได้ แต่ยังมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้อีกด้วย

ปรับเป้าหมายการออม

  • เพิ่มสัดส่วนเงินออมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

เมื่อ VAT เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพก็จะสูงตามไปด้วย สมมติว่าปกติใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท เมื่อ VAT เพิ่ม ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มเป็น 31,500 บาท หมายความว่าต้องเตรียมเงินเพิ่มอีก 1,500 บาทต่อเดือน หรือ 18,000 บาทต่อปี การเริ่มออมเพิ่มตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้มีเงินเพียงพอเมื่อถึงเวลานั้น

  • สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน

ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินสำรองฉุกเฉินยิ่งมีความสำคัญ ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 – 12 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น หากใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท ควรมีเงินสำรองประมาณ 180,000 – 360,000 บาท วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ตั้งเป้าเก็บเงิน 10 – 20% ของรายได้ทุกเดือน และฝากในบัญชีที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อไม่ให้นำมาใช้ในยามปกติ

  • พิจารณาช่องทางการออมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ

เมื่อ VAT เพิ่มขึ้น เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มสูงขึ้นตาม การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำอาจไม่เพียงพอ ควรพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น บัญชีฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น พันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก

ปรับพอร์ตการลงทุน

  • ลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้

การมีแหล่งรายได้หลายทาง จะช่วยรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ เช่น กอง REITs ที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เป็นต้น

  • ลงทุนในกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

เลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อโดยเฉพาะ เช่น กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่อ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ซึ่งมักปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ

  • กระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์

ไม่ควรใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี

3. การวางแผนภาษีและสิทธิประโยชน์

หาก VAT ปรับตัวสูงขึ้น การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพถือเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารเงิน การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ไม่เพียงช่วยลดหย่อนภาษีได้ ยังเป็นการสร้างวินัยการออมในระยะยาว นอกจากนี้ การทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ หรือการบริจาคให้องค์กรการกุศลก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ที่สำคัญ อย่าลืมติดตามสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้มีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับรับมือกับ VAT ที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

4. กลยุทธ์การซื้อสินค้าและบริการ

การซื้อสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อ VAT สูงขึ้น ไม่ใช่แค่การประหยัด แต่เป็นศิลปะของการใช้จ่ายที่คุ้มค่า
  • วางแผนการซื้อให้เป็นระบบ
เริ่มต้นด้วยการสำรวจความต้องการที่แท้จริง จัดทำรายการสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อในแต่ละเดือน แยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น ของใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำความสะอาด เครื่องใช้ส่วนตัว ลองคำนวณดูว่าใน 1 เดือน ต้องซื้อสินค้าแต่ละประเภทในปริมาณเท่าไร และมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณเท่าไร เช่น ครอบครัว 4 คน อาจใช้น้ำยาซักผ้าเดือนละ 2 แกลลอน สบู่ 8 ก้อน ยาสีฟัน 2 หลอด เมื่อ VAT เพิ่มขึ้น สินค้าเหล่านี้จะมีราคาแพงขึ้น ดังนั้น การซื้อครั้งละมาก ๆ ในช่วงที่มีโพรโมชันจะช่วยประหยัดได้มาก

  • เปรียบเทียบราคา
ในยุคดิจิทัล การเปรียบเทียบราคาไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ใช้แอปพลิเคชันเปรียบเทียบราคา หรือเช็กราคาจากหลาย ๆ ร้านค้าออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ อย่าลืมคำนวณค่าขนส่งและส่วนลดพิเศษประกอบด้วย บางครั้งการซื้อออนไลน์อาจถูกกว่าการไปซื้อที่ร้านค้า แม้ต้องจ่ายค่าส่ง เพราะร้านค้าออนไลน์มักมีโพรโมชันและค่าดำเนินการที่ต่ำกว่า

  • วางแผนซื้อสินค้าราคาสูง
สำหรับสินค้าราคาแพง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ การเพิ่มขึ้นของ VAT จะส่งผลกระทบมากกว่าสินค้าทั่วไป ดังนั้น การวางแผนซื้อล่วงหน้าและรอจังหวะโพรโมชันจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ควรพิจารณาทางเลือกการผ่อนชำระแบบ 0% หากมีบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ แต่ต้องแน่ใจว่าสามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด และเปรียบเทียบกับการจ่ายเงินสดว่าวิธีไหนคุ้มค่ากว่า บางครั้งการจ่ายเงินสดอาจได้ส่วนลดพิเศษที่มากกว่าการผ่อนชำระ

  • การใช้โพรโมชันและส่วนลด
การตามหาและใช้โพรโมชันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลงทะเบียนรับข่าวสารจากร้านค้าที่ใช้บริการประจำ สมัครสมาชิกเพื่อรับสิทธิพิเศษ และวางแผนการซื้อให้ตรงกับช่วงที่มีโพรโมชัน แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกล่อด้วยส่วนลดจนซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะของลดราคาที่ไม่ได้ใช้ก็ไม่ต่างจากการสูญเสียเงินไปเปล่า ๆ

5. การติดตามและปรับแผน

การวางแผนการเงินที่ดีเปรียบเสมือนการเดินทาง ไม่ใช่แค่การกำหนดจุดหมาย แต่ต้องคอยสังเกตและปรับเส้นทางระหว่างทางด้วย โดยเฉพาะหาก VAT ปรับตัวสูงขึ้น การติดตามและปรับแผนการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้

 

การติดตามค่าใช้จ่ายในยุคดิจิทัลทำได้ง่ายขึ้นมาก โดยสามารถใช้แอปพลิเคชันบันทึกค่าใช้จ่าย สิ่งสำคัญ คือ ต้องบันทึกทันทีที่จ่ายเงิน แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เช่น ค่าขนม 20 บาท หรือค่ากาแฟ 45 บาท เพราะค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ เหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วอาจเป็นจำนวนที่มากในแต่ละเดือน และหาก VAT เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที

 

อีกทั้ง การวิเคราะห์รูปแบบการใช้จ่ายทุกเดือนจะช่วยให้เห็นโอกาสในการประหยัด เช่น หากพบว่าค่าอาหารกลางวันสูงเกินไป อาจเริ่มเตรียมอาหารกล่องไปทำงาน หรือหากค่าเดินทางสูง อาจพิจารณาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถส่วนตัว

 

นอกจากนี้ ควรมีแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การสูญเสียรายได้ หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน การมีเงินสำรองฉุกเฉินและประกันที่เหมาะสมจะช่วยให้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดีขึ้น และเมื่อ VAT ปรับตัวสูงขึ้น อาจต้องปรับเป้าหมายการออมและการลงทุนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลง เช่น เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หรือหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม เพราะหากติดตามและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้น VAT หรือความท้าทายทางการเงินอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 


สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการลดหย่อนภาษี เพื่อให้สามารถวางแผนภาษีและเพิ่มเงินออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนภาษี สไตล์มนุษย์เงินออม” ได้ฟรี!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน