ฐานะทางการเงินของบริษัท ไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงิน ตอน 2

โดย กวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content สายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ. หลักทรัพย์ พาย
3 Min Read
4 มกราคม 2566
20.646k views
Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_Thumbnail
Highlights
  • อัตราส่วนที่ใช้วัดความแข็งแกร่งทางการเงิน เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน หากบริษัทมีอัตราส่วนเหล่านี้ในระดับต่ำ จะมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เป็นการบอกว่าสินทรัพย์ของกิจการส่วนใหญ่เป็นส่วนของทุนหรือหนี้สิน หากมีหนี้สินมากเกินไป ก็จะตามมาด้วยภาระดอกเบี้ยจ่ายสูง เมื่อรายได้ไม่เป็นตามที่คิด บริษัทอาจมีปัญหา

  • อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน เป็นการนำดอกเบี้ยจ่ายเข้ามารวมเพื่อดูหนี้สินที่แท้จริง และตัดเจ้าหนี้การค้าออก เพราะไม่มีภาระดอกเบี้ย ดังนั้น จะเหลือเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ซึ่งแสดงถึงฐานะทางการเงินของบริษัทได้ดีกว่า

ทบทวนความจำกันก่อนครับ บทความที่แล้วเราคุยกันเรื่องการวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน อ่านบทความที่แล้ว >> คลิกที่นี่  ซึ่งประกอบไปด้วย 5 อัตราส่วน โดยล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการวิเคราะห์เพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน เพราะนักลงทุนชอบให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไรมากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงทั้งความสามารถในการทำกำไรและฐานะทางการเงินควรให้ความสำคัญเท่า ๆ กัน นั่นคือที่มาว่าทำไมผมถึงค่อนข้างใช้เวลาในการอธิบายเรื่องการวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน โดยอัตราส่วนเพื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินประกอบด้วย

  1. อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
  2. วงจรเงินสด (Cash Cycle)
  3. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio)
  4. อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest Bearing Debt to Equity Ratio)
  5. อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt to Equity Ratio)

 

ในบทความที่แล้วเราคุยกันไปแล้ว 2 อัตราส่วนแรก บทความนี้เรามาคุยกันอีก 3 อัตราส่วนที่เหลือ ซึ่งนักลงทุนอาจมีความสับสนว่าอัตราส่วนใดควรใช้มากที่สุด เรามาเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดกันครับ นั่นคือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) ซึ่งสามารถหาได้ง่าย ๆ จาก

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_01

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ปี 2020 ของบริษัท CPALL       =          411,758            =            4.26 เท่า

                                                                               96,758

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_02

แน่นอนว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะมีหนี้สินน้อยเมื่อเทียบกับส่วนความเป็นเจ้าของหรือส่วนของทุน โดยตามทฤษฎีบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงควรมีอัตราส่วนนี้ไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัท CPALL มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงถึง 4.26 เท่าในปี 2020 แน่นอนหากเห็นตัวเลขดังกล่าว หลายคนอาจบอกทันทีว่าบริษัท CPALL มีความเสี่ยงเรื่องหนี้สินหรือฐานะทางการเงินสูงมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจต้องมองเรื่องหนี้สินให้ลึกกว่านั้น (นั่นคือเหตุผลที่ผมนำบริษัท CPALL มาเป็นตัวอย่าง) เนื่องจากในปี 2013 บริษัท CPALL ได้เข้าซื้อ MAKRO ทำให้ปริมาณหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก และตามมาด้วยการซื้อ Lotus ในปี 2020 ยิ่งทำให้หนี้สินสูงขึ้นไปอีก ซึ่งหากพิจารณาว่าการสร้างหนี้สินของบริษัท CPALL นั้นถือว่ามีเหตุผลเนื่องจากเป็นการซื้อกิจการที่มีกำไรอยู่แล้ว และเป็นการซื้อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันเพื่อสร้าง Synergy แต่หากบริษัทใดก็ตามสร้างหนี้ด้วยการซื้อหรือขยายกิจการในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวเนื่อง เราควรต้องระมัดระวังให้ดีในการลงทุน เพราะมีความเสี่ยงที่บริษัทอาจไม่มีความถนัดในการทำธุรกิจที่ซื้อหรือที่ขยายธุรกิจเพิ่ม

 

และหากวิเคราะห์ให้ลึกกว่านั้นอีก จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2016 – 2019 ก่อนที่บริษัท CPALL จะซื้อ Lotus นั้น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 5.30 เท่า ในปี 2016 เหลือเพียง 2.85 เท่า ในปี 2019 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.26 เท่าในปี 2020 หลังจากซื้อ Lotus แสดงให้เห็นว่าบริษัท CPALL มีศักยภาพในการลดหนี้สินได้ค่อนข้างเร็ว ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขเป็นเช่นนี้ นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับแนวโน้มของอัตราส่วนด้วยว่าลดลงหรือไม่ในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะพอบอกความแข็งแกร่งทางการเงินได้ แต่ในส่วนของหนี้สินนั้น บางครั้งเป็นหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ ไม่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย เช่น เจ้าหนี้การค้า หนี้สินหมุนเวียน และไม่หมุนเวียนอื่น ๆ  เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้การวิเคราะห์ฐานะทางการเงินมีความแม่นยำมากขึ้น ควรหาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest Bearing Debt to Equity Ratio) ด้วย ซึ่งสามารถหาได้จาก

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_03

โดยหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยประกอบไปด้วยเงินเบิกเกินบัญชี เงินกู้ยืมธนาคาร (หนี้สิน) ทั้งระยะสั้นและระยะยาว หุ้นกู้ เป็นต้น ในขณะที่เจ้าหนี้การค้านั้นไม่ได้มีภาระดอกเบี้ย และเป็นเพียงหนี้ที่เกิดจากบริษัทซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบเข้ามาเพื่อผลิตสินค้าและรอชำระเงินให้กับคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า หากหักหนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยออกไป จะแสดงถึงความมั่นคงของฐานะทางการเงินได้ดีกว่า

 

อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ปี 2020 ของบริษัท CPALL

           

=          1,050 + 27,225 + 264,685            =          3.03 เท่า

                         96,758

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_04

จะเห็นได้ว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนนั้นจะต่ำกว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เพราะรวมหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอย่างเดียวเท่านั้น โดยของบริษัท CPALL นั้นลดลงมาเกือบต่ำกว่า 1.5 เท่าแล้วในปี 2019 และลดลงมากกว่าเท่าตัวตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัท CPALL สามารถลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลงมาได้เร็วมาก ทั้งที่ไม่ได้มีการเพิ่มทุน แสดงให้เห็นว่าบริษัท CPALL มีกระแสเงินสดที่ดีมากและสามารถชำระคืนหนี้ได้ แต่หากบริษัทใดมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพิ่มขึ้นในระยะยาวและอยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นถึงฐานะทางเงินที่มีความเสี่ยงและอาจเกิดปัญหาขึ้นได้หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ

 

อัตราส่วนสุดท้ายเรามาวิเคราะห์ให้ลึกขึ้นด้วยการหาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt to Equity Ratio) ซึ่งสามารถหาได้จาก

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_05

การหักเงินสดออกไปนั้น เป็นเพราะเงินสดตามทฤษฎีสามารถนำไปชำระคืนหนี้สินได้ ซึ่งจะช่วยลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทลง แต่ในความเป็นจริงบางครั้งไม่สามารถทำได้ เพราะหนี้สินหรือเงินกู้ธนาคารนั้นอาจจะมีเงื่อนไขในการชำระ คือ ต้องชำระตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การมีเงินสดมากในแง่ของฐานะทางการเงินนั้นคือ การที่สามารถบริหารเงินสดได้ง่าย และหากต้องขยายธุรกิจในอนาคตบริษัทจะมีกระแสเงินสดเพียงพอโดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น

 

อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ปี 2020 ของบริษัท CPALL

           

=          1,050 + 27,225 + 264,685 – 40,589           =          2.61 เท่า

                             96,758

Inv_ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ได้บอกแค่ความมั่นคงทางการเงินตอน2_06

อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่หักเงินสดออกไป แน่นอนก็จะต่ำกว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนและอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ซึ่งในกรณีของบริษัท CPALL นั้นลดลงมาเหลือเพียง 1.24 เท่าในปี 2019 ลดลงจาก 2.82 เท่าในปี 2016 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัท CPALL มีเงินสดอยู่ในบริษัทค่อนข้างมาก

 

ดังนั้น การวิเคราะห์ตัวเลขดังกล่าวไม่อาจตัดสินใจว่าสูงหรือต่ำได้เพียงอย่างเดียว ควรต้องดูข้อมูลในอดีตด้วยว่าลดลงหรือเพิ่มขึ้น และหากเพิ่มขึ้นเป็นเพราะอะไร นำเงินกู้ไปลงทุนอะไร และสิ่งที่ลงทุนนั้นสามารถสร้างกำไรกลับคืนมาให้บริษัทได้หรือไม่ และสุดท้ายอัตราส่วนดังกล่าวไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมจะมีลักษณะเฉพาะหรือมีโครงสร้างเงินทุนที่ไม่เหมือนกัน

 

 

หมายเหตุ : รายชื่อและข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในบทความนี้ ใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


กิจการแข็งแกร่งหรือไม่ ดูได้ที่งบการเงิน...สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้องค์ประกอบต่าง ๆ ของงบการเงิน และเทคนิคการอ่านงบการเงินแบบง่าย เพื่อประเมินศักยภาพของกิจการประกอบการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร Financial Statement Analysis ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: