ในตอนที่แล้ว ผมได้ตอบคำถาม 4 ข้อ สำหรับผู้ต้องการเริ่มลงทุนในหุ้น หรือผู้ที่เริ่มลงทุนหุ้นแล้วยังไม่มั่นใจว่าเราเข้าใจหุ้นจริงหรือไม่ ซึ่ง 4 คำถามประกอบไปด้วย
โดยหากใครยังไม่ได้อ่าน ให้ย้อนไปอ่านได้ที่นี่ "บทความ : หลากหลายคำถามกับการลงทุนหุ้น" วันนี้ผมจะมาตอบอีก 2 คำถาม ได้แก่
และในฉบับต่อไปผมจะมาตอบอีก 3 คำถาม คือ ลงทุนหุ้นเริ่มเมื่อไรดี ซื้อหุ้นอย่างไรถึงได้ผลตอบแทนที่ดี และคำถามสุดท้าย เลือกหุ้นลงทุนอย่างไร
อย่างไรก็ตาม คำตอบของคำถามที่ว่าจะซื้อหุ้นอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่ดี หรือซื้อหุ้นอะไรดีนั้น ผมคงตอบอย่างละเอียดไม่ได้ในฉบับนี้หรือฉบับหน้า แต่ติดตามบทความผมไปเรื่อย ๆ ครับ รับรองจะสอนวิธีลงทุนหุ้นที่ถูกต้องสำหรับทุกประเภทการลงทุน
นักลงทุนมีกี่ประเภท : นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้มีประเภทเดียวหรอกหรือ ก็แค่ซื้อแล้วก็ขายวนไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่าละครับ แต่ประเภทนักลงทุนของผมจะแบ่งตามวิธีการลงทุน ซึ่งหากเราไม่เข้าใจว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหนถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ และผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะไม่รู้ว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหน เพราะนักลงทุนแต่ละประเภทมีวิธีการลงทุนที่แตกต่างกัน และก็ใช้ความรู้ในการลงทุนที่แตกต่างกันด้วย
“การไม่รู้ว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหน ก็เหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกผิด”
จากประสบการณ์ของผม นักลงทุนจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ และ 4 ประเภทย่อย ประกอบไปด้วย
1. นักลงทุน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย
นอกจากนี้ อาจมีการเก็งกำไรตามการเปลี่ยนแปลงผลกำไรของบริษัทในระยะสั้นหรือกลาง เช่น ผลกำไรรายไตรมาส รายปี หรือแม้กระทั่งเก็งกำไรจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ การเมืองในประเทศ เป็นต้น เชื่อไหมเดือนมิถุนายน ราคาหุ้นโรงหนังจะปรับขึ้น ช่วงตรุษจีน ราคาหุ้นของบริษัทที่ขายหมูขายไก่ขึ้น หรือช่วงมอเตอร์โชว์หุ้นกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์และหุ้นกลุ่มยานยนต์จะขึ้น หุ้นส่งออกจะขึ้นในไตรมาสที่ 2 เป็นต้น (เพราะอะไรลองไปคิดต่อดูนะครับ)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่านักลงทุนประเภทนี้ต้องมีความรู้มากพอสมควร ที่จะต้องรู้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีผลอย่างไรต่อราคาหุ้น ทั้งรายกลุ่มอุตสาหกรรมและรายบริษัท อย่างไรก็ตาม แม้จะยากแค่ไหน แต่ก็มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เก็งกำไรแบบนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้มีความรู้ขนาดนั้นหรือรู้ไม่มากพอ แต่ที่น่ากลัวคือ นักวิเคราะห์หุ้นชอบแนะนำให้นักลงทุนซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น ตามวิธีนี้เยอะมาก ดังนั้น นักลงทุนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนแบบนี้มักจะไม่ประสบความสำเร็จ และอาจถึงขั้นโทษว่าตลาดหุ้นเหมือนบ่อนการพนันมากกว่า
ผมไม่ได้มีอคติกับการลงทุนประเภทไหนเลย โดยส่วนตัวผมเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่ากับห่านทองคำ แต่ก็มีเงินส่วนหนึ่งที่เข้ามาเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ และงานที่ผมทำส่วนใหญ่ก็เป็นแนวให้คำแนะนำนักลงทุนแบบโมเมนตัม ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนประเภทไหนหรือจะเป็นหลายแบบก็ได้ มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น ผมขอแค่ให้แน่ใจว่าเรามีความรู้และความเข้าใจว่านักลงทุนแต่ละประเภทมีวิธีการลงทุนอย่างไร ดังนั้น เราต้องค้นหาตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราเป็นประเภทไหน แต่หากยังตัดสินใจไม่ได้ การจัดพอร์ตลงทุนตามความเสี่ยงผ่านกองทุนรวมถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในช่วงเริ่มต้น ก่อนที่เราจะมีความรู้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำก่อนว่า แม้ว่าเราจะศึกษามาอย่างดีในการลงทุนประเภทต่าง ๆ แต่ไม่ได้การันตีว่าเราจะถูกต้อง 100% เพราะไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยด้านเทคนิคล้วนแล้วแต่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกประเภทต้องเข้าใจและต้องติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นตลอดเวลา เพียงแต่วิธีในการติดตามนั้นจะแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับประเภทการลงทุนที่เราเลือก เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปความคิดเราอาจจะเปลี่ยน หรือลงทุนไปสักพักแล้วรู้สึกว่าเราเลือกประเภทนักลงทุนผิด เราก็สามารถเปลี่ยนวิธีการลงทุนได้
“จงอย่าปล่อยให้ความผิดพลาดครั้งเดียว ทำลายพอร์ตการลงทุนของเราทั้งหมด
ดังนั้น ติดตามธุรกิจหรือสถานการณ์ของตลาดหุ้นที่เราเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตามวิธีการลงทุนที่เราเลือก”
ลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงไหม : เป็นคำถามที่คลาสสิคมากนะครับ ผมอยากถามกลับว่ามีอะไรที่เราทำทุกวันนี้ไม่มีความเสี่ยงบ้าง ขับรถก็เสี่ยงชน ข้ามถนนก็เสี่ยง ไปเที่ยวก็เสี่ยงฝนตก อยู่บ้านก็เสี่ยงหกล้ม ทุกเรื่องในชีวิตมีความเสี่ยงหมด แต่เรารอดกันมาได้ไม่ใช่เราไม่เสี่ยง แต่เรารู้จักบริหารหรือจำกัดความเสี่ยง เช่น กลัวค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็ทำประกันชีวิต กลัวรถชนก็ทำประกันภัยรถยนต์หรือประกันอุบัติเหตุ กลัวหกล้มในบ้านก็ทำพื้นไม่ให้ลื่น ฯลฯ
และอะไรคือ เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนหุ้น แน่นอนคือความรู้ในการลงทุน รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสม และการใช้เงินเย็นในการลงทุน ซึ่งเรื่องการป้องกันความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ผมต้องขยายความแน่นอน แต่ในฉบับนี้ผมอยากให้เปรียบเทียบกราฟราคาหุ้นของ 2 บริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน นั่นคือธุรกิจสื่อสาร ทั้งนี้เพื่อตัดความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรมออกไปส่วนหนึ่ง สังเกตไหมครับหากเราเลือกหุ้นถูกความเสี่ยงก็จะลดลง ดังนั้น ความรู้ในการเลือกหุ้นจึงมีความสำคัญมากในการลดความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นลงทุนเพียงบริษัทเดียวก็ถือว่าเป็นความเสี่ยง เช่น หากเราเลือกลงทุนหุ้น TRUE ก็มีโอกาสขาดทุนสูงในระยะยาว (ข้อมูลในอดีตนะครับ ไม่ได้มองอนาคตซึ่งราคาอาจปรับขึ้นได้) ดังนั้น การลดความเสี่ยงอีกวิธีหนี่งคือการลงทุนในหุ้นหลายบริษัทมากขึ้น เพราะหากพลาดหุ้นบริษัทหนึ่ง อาจมีอีกบริษัทที่ประสบความสำเร็จได้ ทั้งนี้ที่ผมกล่าวมาเป็นการป้องกันความเสี่ยงแบบการลงทุนระยะยาว แต่หากลงทุนแบบเก็งกำไร การเลือกหุ้นลงทุนก็ยังคงมีความสำคัญ แต่การกระจายความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นหลายบริษัทคงไม่ใช่วิธีการป้องกันความเสี่ยงของการเก็งกำไร แต่วินัยในการตัดขาดทุนต่างหากที่มีความสำคัญมากกว่า
ดังนั้น โดยสรุปการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่เราเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นก็มีวิธีในการป้องกันความเสี่ยงที่สามารถนำมาใช้ให้เราไม่เสี่ยงเกินไปและยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่งดงามได้ ดังนั้น “เสน่ห์ของการลงทุนหุ้น คือความพยายามในอันที่จะลดความเสี่ยง แต่ยังคงสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้” ซึ่งในฉบันต่อ ๆ ไป เราคงเจาะลึกในรายละเอียดมากขึ้น
หมายเหตุ : ตัวอย่างหุ้นที่นำมา ใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
เลือกหุ้นให้ถูกสไตล์ มีชัยไปกว่าครึ่ง สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้สไตล์การลงทุนแบบต่าง ๆ รวมไปถึงสไตล์หุ้นแต่ละประเภท เพื่อคัดเลือกหุ้นและวางกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Investment Styles” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่