VI ย่อมาจาก Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งมักใช้เรียกกลุ่มนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดย Value Stock ก็คือหุ้นที่มีราคา ต่ำกว่า มูลค่าที่ควรจะเป็นของหุ้นนั้นๆ
ที่เรียกว่าเป็น “หุ้นคุณค่า” ก็เพราะเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนในตลาดมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในตัวหุ้น ก็จะเข้าซื้อหุ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตเป็นสาเหตุที่เรามักจะเห็นว่านักลงทุน VI ชอบลงทุนระยะยาว โดยลงทุนใน Value Stock และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะขายหุ้นออกไปเพื่อทำกำไร เมื่อคิดว่าราคาหุ้นถึงมูลค่าที่ควรจะเป็นแล้ว หรือที่นักลงทุนมักจะเรียกกันว่าราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้ว
การลงทุนแบบ VI เหมาะกับใครบ้าง?
ก่อนเริ่มลงทุน นักลงทุนต้องเข้าใจสไตล์หุ้นและสไตล์การลงทุนของตัวเอง จึงจะลงทุนได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในการลงทุน ผู้ที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่เน้นหุ้นคุณค่า คือ นักลงทุนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่จะลงทุน และต้องเป็นนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างยาว มีความอดทนในการเฝ้ารอการเติบโตของหุ้นคุณค่า
เทคนิคค้นหาหุ้นคุณค่า... หุ้นดี ราคาถูก
นักลงทุนแต่ละคนจะมีเทคนิคการคัดเลือกหุ้นคุณค่าที่แตกต่างกันออกไป เราลองมาดู 5 เทคนิคพื้นฐานในการเลือกหุ้นคุณค่ากันดีกว่า
ควรเลือกหุ้นที่สินค้าและบริการของบริษัทมีจุดแข็ง เช่น สินค้ามีความน่าสนใจ สามารถสร้างลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นสินค้าที่หาสินค้าทดแทนได้ยาก เป็นต้น
หุ้นที่เราจะคัดเลือกเขาในลิสต์ของหุ้นคุณค่าจะต้องเป็นหุ้นที่รายได้มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยบ่งบอกถึงความสามารถผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ
หุ้นที่ดีเมื่อรายได้มีการเติบโตแล้ว จะต้องมีความสามารถในการสร้างกำไรได้ดีด้วย ซึ่งเราอาจดูได้จากอัตราส่วนทางการเงิน เช่น EPS Growth, Net Profit Margin, ROA, ROE มีค่าสูง ซึ่งนักลงทุนแต่ละคนก็จะกำหนดค่าอัตราส่วนทางการเงินเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกแตกต่างกันไป
เมื่อกิจการมีรายได้และความสามารถในการทำกำไรที่ดีแล้ว ก็ควรจะมีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอด้วย และการจ่ายปันผลควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการเติบโตของกิจการ
สำหรับหุ้นคุณค่า นอกจากจะเป็นหุ้นดีแล้ว ยังต้องมีราคาถูกด้วย ซึ่งมักจะเปรียบเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงที่เกิดจากการประเมินมูลค่าตามแบบจำลองทางการเงินที่นักวิเคราะห์คำนวณไว้ให้ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่อาจใช้อัตราส่วน P/E , P/BV เพื่อเป็นเกณฑ์ในการคัดกรองหุ้นคุณค่า ก็สามารถทำได้
เรื่องต้องห้ามสำหรับนักลงทุนแบบ VI
เมื่อซื้อหุ้นแล้วควรถือไปสักระยะไม่ซื้อขายบ่อยๆ จนกลายเป็นนักเทรดเพื่อเกร็งกำไรระยะสั้น
นักลงทุน VI จะเลือกบริษัทที่มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ ห้ามเลือกหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการขาดทุน
ข้อพึงระวังของนักลงทุนแบบ VI
ค่า P/E Ratio เป็นอัตราส่วนหนึ่งที่นักลงทุน VI ใช้ในการคัดเลือกหุ้นคุณค่า แม้ว่าค่า P/E มักถูกใช้วัดความถูกแพงของหุ้นก็จริง นักลงทุนจึงมักจะชอบหุ้นที่มี P/E ต่ำ ยิ่งต่ำยิ่งดี ซึ่งค่า P/E เป็นสูตรคำนวณที่เกิดจาก P (ราคาหุ้น) หารด้วย E (กำไรต่อหุ้น) เมื่อพบหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำ นักลงทุนต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าทำไม P/E ถึงต่ำ เช่น กำไรมาจากการดำเนินงานหรือไม่ หรือเกิดจากกำไรพิเศษ วิเคราะห์เปรียบเทียบกับค่า P/E ในอดีต รวมถึงการวิเคราะห์ค่า P/E เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกันว่ามีค่า P/E เป็นอย่างไร
นักลงทุน VI หลายคนอาจใช้ปันผลเป็นเกณฑ์ในการเลือกหุ้นคุณค่าเข้าพอร์ต ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่มีสิ่งที่เราต้องพิจารณาต่อ สำหรับหุ้นที่มีเงินปันผลสูงๆ ได้แก่ แนวโน้มการจ่ายปันผลจะสูงต่อเนื่องในระยะยาวหรือไม่ หรือแม้แต่ว่าการจ่ายปันผลสูงๆ นั้นสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่สามารถนำกำไรไปขยายกิจการต่อ ซึ่งก็จะมีผลต่อการเติบโตในระยะยาวของกิจการได้
หลังจากค้นหาหุ้นคุณค่าเจอแล้ว นักลงทุนหลายคนเมื่อลงทุนแล้วก็จะปล่อยให้กิจการดำเนินงานไป พร้อมกับความมั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนต้องเติบโตและมีกำไรงดงาม โดยไม่ติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทที่เราลงทุน มีความมั่นใจ 100% ว่าหุ้นที่เราเลือกเป็นกิจการที่ดีและจะเติบโตอย่างแน่นอน แต่ในโลกความเป็นจริง หลังจากลงทุนในหุ้นคุณค่าแล้ว ก็ยังต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินกิจการอย่างใกล้ชิด
การจะค้นหาหุ้นคุณค่าดีๆ สักตัวอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่หากตั้งใจศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง เราก็จะสามารถค้นหาหุ้นคุณค่าเจอและเป็นนักลงทุน VI ได้ไม่ยาก ซึ่งการจะเป็นนักลงทุน VI ที่ดี เราต้องทำความเข้าใจข้อมูลบริษัทและงบการเงินของหุ้นที่ลงทุนอย่างถ่องแท้
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับหุ้นคุณค่าที่เราลงทุนอย่างต่อเนื่อง