SET50 Index Futures ไม่เทรดบ่อย ก็ทำกำไรได้

โดย ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
3 Min Read
30 พฤศจิกายน 2563
8.687k views
TSI_98_SET50 Index Futures ไม่เทรดบ่อย ก็ทำกำไรได้
Highlights
  • การลงทุน SET50 Index Futures ไม่ได้ทำได้แค่ซื้อขายบ่อยๆ หรือนั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่นักลงทุนระยะยาวที่นานๆ ซื้อขายที ก็สามารถลงทุนได้ แถมมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี ขอเพียงใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสม

  • ถ้ามีมุมมองว่า SET50 Index Futures เป็นเครื่องมือการลงทุนที่สามารถนำไปใช้ในการลงทุนระยะยาวเหมือนหุ้นตัวหนึ่งได้ ก็สามารถวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อทำกำไรได้

มีคำถามตลอดเวลาว่า... หากสนใจลงทุนใน SET50 Index Futures ต้องเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์หรือเข้าขั้นเซียนอนุพันธ์เท่านั้นหรือไม่? คำตอบคือ ถูก แต่ถูกเพียงครี่งเดียว เพราะนักลงทุนที่คาดการณ์ทิศทางตลาดไม่ค่อยแม่นหรือไม่อยากซื้อขายบ่อยครั้ง ก็ลงทุนได้ ขอเพียงวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม  

 

  1. ซื้อขายตามการตัดขึ้นหรือตัดลงของเส้นค่าเฉลี่ย

 

คงทราบดีว่าสัญญาณที่เรียกว่าGolden Cross” และ Dead Cross” ถือเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคเบื้องต้นและนักลงทุนสามารถนำไปใช้และทำกำไรได้จริง

 

Golden Cross เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า... ตลาดหุ้น (หรือราคาหุ้นตัวนั้น) กำลังเปลี่ยนแนวโน้มจากเดิมเป็นขาขึ้นระยะสั้นเป็นขาขึ้นระยะยาว ขณะที่ Dead Cross เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า... ตลาดหุ้น (หรือราคาหุ้นตัวนั้น) กำลังเปลี่ยนแนวโน้มจากเดิมเป็นขาลงระยะสั้นเป็นขาลงระยะยาว

 

โดยสัญญาณ Golden Cross เกิดขึ้นอยู่บนเงื่อนไขว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (Short-term Moving Average) ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (Long-term Moving Average) ขณะที่สัญญาณ Dead Cross จะเกิดขึ้นบนเงื่อนไขว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว

 

สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นที่นิยมใช้ ได้แก่ เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ส่วนเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว นิยมใช้เส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน หรือ 200 วัน ขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่าถนัดใช้เส้นค่าเฉลี่ยไหน

 

ดังนั้น หากเข้าใจสัญญาณ Golden Cross และ Dead Cross ก็สามารถลงทุนใน SET50 Index Futures ได้ เช่น นักลงทุนเปิดสถานะเมื่อราคาเปลี่ยนแนวโน้ม โดยเปิดสถานะซื้อ (Long) เมื่อราคาเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น และเปิดสถานะขาย (Short) เมื่อราคาเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง

 

  1. รอจังหวะเปิดสถานะอย่างใจเย็น

 

หากใช้กลยุทธ์นี้ให้นึกถึงเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค เรียกว่าRSI” หรือStochastic Oscillator” ที่ใช้เพื่อบอกภาวะตลาดหุ้น (หรือราคาหุ้นตัวนั้น) ว่า... ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) จากค่าความผันผวนในช่วงเวลานั้นๆ โดยค่ามาตราฐานที่ตั้งไว้ คือ 14 วัน

 

หาก RSI มีค่ามากกว่า 70 จะถูกเรียกว่า “ซื้อมากเกินไป” แปลว่าตลาดหุ้น (หรือราคาหุ้นตัวนั้น) อาจปรับขึ้นมาสูงสุดและกำลังจะปรับตัวลงแล้ว แต่หากมีค่าต่ำกว่า 30 เรียกว่า “ขายมากเกินไป” แปลว่าตลาด (หรือราคาหุ้นตัวนั้น) อาจปรับลดลงต่ำสุดและมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้

 

หากนักลงทุนเห็นดัชนี SET50 หรือ SET50 Index Futures ปรับขึ้นมากๆ (Overbought) ก็ควรเปิดสถานะ “ขาย” (Short) แต่หากเห็นดัชนี SET50 หรือ SET50 Index Futures ปรับตัวลงมากๆ (Oversold) ควรเปิดสถานะ “ซื้อ” (Long)

 

อย่างไรก็ตาม ในอดีตหากนักลงทุนใช้เทคนิคลงทุน SET50 Index Futures จากการดูช่วง Overbought หรือ Oversold พบว่า... ในปีหนึ่งๆ อาจลงทุนได้ไม่กี่ครั้ง เพราะถ้าเป็นช่วง (Overbought) อาจเห็น RSI เคลื่อนไหวเกินระดับ 70 ได้เป็นเวลานานๆ และมีโอกาสเห็นราคาปรับขึ้นไปได้อีก หากเปิดสถานะขาย (Short) และราคาปรับขึ้นก็จะขาดทุน เช่นกันถ้าเป็นช่วง (Oversold) อาจเห็น RSI เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 30 เป็นระยะเวลานานๆ และมีโอกาสเห็นราคาปรับลดลงได้อีก หากเปิดสถานะซื้อ (Long) และราคาปรับลดลงก็จะขาดทุน

 

  1. ดูพฤติกรรมการเคลื่อนไหว SET50 Index ในอดีต

 

SET50 Index Futures เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับ SET50 Index ดังนั้น ราคาของ SET50 Index Futures จะปรับตัวขึ้นหรือลงในทิศทางเดียวกันกับดัชนี SET50 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นลงเท่ากัน แต่โดยรวมการปรับตัวขึ้นลงของ SET50 Index Futures เปรียบเทียบกับดัชนี SET50 ถือว่าใกล้เคียงกันมาก แปลว่าถ้าลงทุนระยะยาวด้วยการลงทุน SET50 Index Futures ผลตอบแทนที่ได้ก็จะใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี SET50

 

หากใช้กลยุทธ์นี้ นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลการขึ้นลงของดัชนี SET50 ในอดีตที่ผ่านมาว่า... สถิติขาขึ้นและขาลงรอบใหญ่เป็นอย่างไร และใช้เวลานานกี่วัน เพื่อจะได้ตัวกำหนดกลยุทธ์การเปิดสถานะ

 

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลสถิติช่วงปี 2552 – 2560 พบว่าช่วงขาขึ้นรอบใหญ่ของดัชนี SET50 แต่ละรอบจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 221.69 จุด (หรือ 37.91%) ใช้เวลาเฉลี่ย 170 วัน ก่อนจะพักฐาน 121.69 จุด (หรือ 12.99%) ใช้เวลาเฉลี่ย 61 วัน ส่วนช่วงขาลงรอบใหญ่ แต่ละรอบจะปรับตัวลงเฉลี่ย 223.89 จุด (หรือ 21.03%) ใช้เวลาเฉลี่ย 121 วัน ก่อนจะฟื้นตัว 110.82 จุด (หรือ 13.35%) ใช้เวลาเฉลี่ย 46 วัน

 

สถิติที่ได้ นอกจากจะนำมาใช้กำหนดกลยุทธ์เพื่อวางแผนการเปิดสถานะสำหรับการลงทุนในรอบใหญ่แล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของ SET50 Index Futures โน้มเอียงไปทางฝั่งขาขึ้นมากกว่าฝั่งขาลง ดังนั้น ถ้าพฤติกรรมการเคลื่อนไหวดัชนี SET50 ยังไม่เปลี่ยน หมายความว่าจะต้องเห็นการฟื้นตัวกลับขึ้นมาก่อนจะพักฐาน 121.69 จุด หรือ 12.99% ซึ่งถ้าเปิดสถานะซื้อ (Long) ก็มีโอกาสทำกำไร (ยังไม่รวมอัตราทด) ราว 8%

 

หากนักลงทุนมองว่า... สถิตินี้ใช้เวลานานเกินไป ก็ให้ปรับช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล เช่น ดูข้อมูลการขึ้นลงรอบใหญ่ของดัชนี SET50 เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน หรือถ้าดูเป็นรายวันหรือรายนาทีก็จะทำให้การเปิดสถานะได้เร็วขึ้นตามไปด้วย

 

อย่าลืมว่า... ทุกกลยุทธ์มีความเสี่ยง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพราะถึงแม้ SET50 Index Futures จะสามารถลงทุนได้ทั้งซื้อขายบ่อยๆ หรือนานๆ ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ลงทุนต้องวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมด้วย

 

สำหรับมือใหม่หัดเทรดฟิวเจอร์ส แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นวางกลยุทธ์การลงทุนในฟิวเจอร์สอย่างไรให้ได้กำไรทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้กลยุทธ์ลงทุน Futures” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง: