อย่างที่บอกไปแล้วว่า... ในสนามการลงทุนจริง ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะชนะตลาดหรือแพ้ตลาดตลอดไป “การจัดสรรเงินลงทุน” (Asset Allocation) หรือบางครั้งนักลงทุนอาจคุ้นหูกับคำว่า “การกระจายการลงทุน” หรือ “การจัดพอร์ตลงทุน” จึงช่วยลดความผันผวนหรือความเสี่ยงระหว่างทางที่ลงทุน รวมถึงสร้างผลตอบแทนให้เป็นไปตามที่คาดหวังในระยะยาวได้

แม้บางครั้งฟังแล้วอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ยุ่งยากในทางปฏิบัติ แต่ความจริงแล้วการจัดสรรเงินลงทุน การกระจายการลงทุน หรือการจัดพอร์ตลงทุนมีหลักพื้นฐานง่าย ๆ อยู่ไม่กี่ข้อ เริ่มจาก...

• ศึกษาข้อมูลการลงทุนแต่ละประเภทก่อนเลือกลงทุน หลักสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือทางเลือกการลงทุนใด ๆ ก็ตาม ต้องศึกษาข้อมูลให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน ซึ่งจะทำให้เราสามารถเลือกใช้อาวุธเหล่านี้ในสนามการลงทุนได้อย่างถูกต้อง ตรงกับสถานการณ์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
• มีสัดส่วนการลงทุนเหมาะกับเป้าหมายของตัวเอง ควรกระจายการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และข้อจำกัดของนักลงทุนแต่ละคน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ คงไม่มีใครบอกได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น
• กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล ไม่ลงทุนในทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งด้วยเงินทั้งหมดที่มี และในแต่ละทางเลือกก็ควรกระจายไปสู่หลาย ๆ หลักทรัพย์ ไม่ควรลงทุนในประเภทใดประเภทหนึ่งมากจนเกินไป เช่น 1 พอร์ตการลงทุน ควรมีทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และมีเงินสดคงเหลือส่วนหนึ่งไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งก้อนที่เป็นหุ้นก็ควรกระจายไปในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นไม่แปรผันไปในทางเดียวกัน เวลาที่หุ้นตัวหนึ่งไม่ดี อย่างน้อยจะได้มีหุ้นตัวอื่นคอยพยุงไม่ให้พอร์ตขาดทุนมากจนเกินไป หรืออาจกระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์ในต่างประเทศเลยก็ได้
• ไม่หลากหลายหรือกระจัดกระจายมากเกินไป เพราะจะทำให้ยากในการติดตามราคาและข่าวสารเกี่ยวกับทางเลือกการลงทุนนั้น ๆ และยังอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายที่มากจนเกินไปอีกด้วย
• มีความยืดหยุ่นระดับหนึ่ง สามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้อย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือเมื่อต้องการจัดพอร์ตการลงทุนใหม่
• ประเมินสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ ควรติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และประเมินมูลค่าพอร์ตการลงทุนของตนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบว่าผลตอบแทนที่เป็นอยู่น่าพอใจ หรือควรขยับขยายเพื่อเปลี่ยนแปลงแนวทางการลงทุนใหม่

พีระมิดการลงทุน

หนึ่งในแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนที่เป็นที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป คือ “การกระจายเงินลงทุนเป็นรูปพีระมิด” หรือที่เรียกว่า “พีระมิดการลงทุน” (Investment Pyramid) ซึ่งจะเป็นการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class) โดยฐานพีระมิดจะเป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่มี “ความเสี่ยงต่ำ” ไปจนถึงยอดพีระมิดที่เป็นสินทรัพย์ที่มี “ความเสี่ยงสูง” ดังคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” นั่นเอง

หลักการก็ง่าย ๆ คือ จัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ (ฐานพีระมิดที่กว้าง) ไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้ค่อนข้างแน่นอน เช่น เงินฝากธนาคาร ตั๋วเงินคลัง ตราสารหนี้ระยะสั้น หรือพันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ และจัดสรรเงินลงทุนส่วนน้อยหรือบางส่วน (ยอดพีระมิดที่แคบ) ไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ อนุพันธ์ ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้น

พูดง่าย ๆ คือ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินลงทุน (Capital Protection) แต่ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงโอกาสในการทำกำไร (Capital Appreciation) ด้วย

การจัดสรรเงินลงทุนในลักษณะ “พีระมิดการลงทุน” นี้ นอกจากพอร์ตการลงทุนจะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ไม่ผันผวนมากจนเกินไปแล้ว ยังสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในทุกภาวะตลาดได้อีกด้วย

ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจกับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ระดับความเสี่ยงหรือโอกาสในการสร้างผลตอบแทน เพื่อนำไปสู่การจัดสรรเงินลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากที่สุด

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ สามารถเรียนรู้และทดลองสร้างพอร์ตลงทุนส่วนตัว ผ่านระบบ “พอร์ตลงทุนจำลอง” (Virtual Portfolio) โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจริง ซึ่งครอบคลุมทั้งหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม เพียงเข้าเว็บไซต์ www.settrade.com และสมัครสมาชิก SET Member เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าไปสร้างพอร์ตลงทุนจำลองได้ ฟรี!!!

ดาวน์โหลดคู่มือการใช้งาน Virtual Portfolio >> คลิกที่นี่