หมัดต่อหมัด RMF vs. SSF แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ

โดย อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง, CFP® รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต
3 Min Read
2 ธันวาคม 2564
2.24k views
Inv_หมัดต่อหมัด RMF vs SSF แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ_Thumbnail
Highlights

กองทุนรวม RMF และ กองทุนรวม SSF ต่างมีประโยชน์ในแง่ของการลงทุนและได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนก็ควรศึกษาข้อมูล ดูรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ด้วยการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของแต่ละกองทุน ซึ่งถือเป็นปราการด่านแรก ที่จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่ากองทุนรวมประเภทไหนเป็นกองทุนที่ใช่และเหมาะกับเรา เลือกลงทุนไปแล้วตรงกับความต้องการหรือเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง

ถ้าต้องเลือกออมและลงทุนเพื่อประหยัดภาษี มีทางเลือกผ่านกองทุนรวมอยู่ 2 ประเภทที่คุ้นหูและหลายคนรู้จักกันดี คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายคนที่ลังเลว่ากองทุนรวมแบบไหนที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง จึงมีตัวเปรียบเทียบและคำแนะนำเบื้องต้นมาให้พิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ความเหมือนและความแตกต่างของ RMF และ SSF

ความเหมือน

 

RMF

SSF

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ

ลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ

จำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุน

ไม่มี

ไม่มี

%วงเงินลดหย่อนภาษี

ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน

ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน

ความแตกต่าง

 

RMF

SSF

วงเงินสูงสุดที่ซื้อได้
และสิทธิลดหย่อนภาษี

ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ ต้องรวมกับวงเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนรวมเพื่อการออม

ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับวงเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

ซื้อได้ถึงเมื่อไร

ซื้อได้ตลอด

ปี 2567

นโยบายจ่ายเงินปันผล

ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล

จ่ายเงินปันผลได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายจ่ายเงินปันผลของแต่ละกองทุน แต่อย่าลืมว่า
เมื่อได้รับเงินปันผลต้องเสียภาษีด้วย

ความต่อเนื่องของการลงทุน

ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี หยุดได้ปีเว้นปี

ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่อง

เงื่อนไขจำนวนปีที่ถือครอง

ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี (นับจำนวนปีแบบ
วันชนวัน) และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

10 ปี นับจำนวนปีแบบวันชนวัน โดยนับแยกเงินลงทุนแต่ละก้อนที่ลงทุนด้วย


RMF และ SSF เหมาะกับใคร

เหมาะกับใคร

 

RMF

SSF

ถ้าคุณต้องการวางแผนลงทุนพร้อม
สิทธิประโยชน์ทางภาษี

เงินลงทุนหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็น เพราะต้องถือยาวจนถึงอายุ 55 ปี

เงินลงทุนหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็นที่จะไม่ใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ถ้าคุณต้องการเก็บเงินวางแผนเกษียณ

 

มีวัตถุประสงค์จัดตั้งมาให้ผู้มีอาชีพอิสระไม่มีนายจ้าง หรือผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณสามารถลงทุนเก็บออมเพื่อเกษียณโดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

สามารถใช้เป็นตัวช่วยวางแผนเกษียณได้

ถ้าคุณอยากรับผลตอบแทนสม่ำเสมอชอบรับเงินปันผลระหว่างการลงทุน

ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพราะต้องการให้คุณเก็บออมเงินลงทุนและผลตอบแทนไว้ใช้ในยามเกษียณ

มีกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพื่อเปิดโอกาสให้คุณได้รับผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ลงทุน แต่เงินปันผลต้องเสียภาษี

ถ้าคุณมีอาชีพอิสระและรายได้ไม่แน่นอนหรืออยากลงทุนแค่ปีนี้ปีเดียว

ไม่เหมาะ เพราะต้องลงทุนต่อเนื่อง

เหมาะ เพราะลงทุนปีต่อปี ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่อง

ถ้าคุณเป็นคนอายุน้อยต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก
ไม่อยากถือครองนาน

ไม่เหมาะ เพราะต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี

เหมาะ เพราะเงินลงทุนแต่ละปี ต้องถือครองยาว 10 ปี แต่ไม่มีเงื่อนไขต้องถือครองจนถึงอายุ 55 ปี

ถ้าคุณเป็นคนอายุน้อย แต่ต้องการเริ่มเก็บเงินเพื่อวางแผนเกษียณ

เหมาะ เพราะสร้างวินัยในการออม พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี และยิ่งเริ่มลงทุนเร็วยิ่งดี

เหมาะ เพราะได้สิทธิลดหย่อนภาษี และยิ่งเริ่มลงทุนเร็วยิ่งดี

ถ้าคุณเป็นคนอายุใกล้เกษียณ เช่น
อายุ 50 ปี อายุ 55 ปี จะเกษียณใน
อีก 5 - 10 ปีข้างหน้า

เหมาะ เพราะ RMF จะถือครองสั้นกว่า คือลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี จนถึงอายุครบ 55 ปี และเมื่อครบเงื่อนไขการลงทุนแล้ว สามารถขายคืนหน่วยลงทุนใน RMF ได้ทั้งหมดทุกก้อน เพื่อนำมาใช้ในวัยเกษียณ หรือจะเลือกถือต่อก็ทำได้

ไม่เหมาะ เพราะเงินลงทุนในแต่ละปี ต้องถือยาว 10 ปี เช่น ปีนี้อายุ 55 ปี ซื้อ SSF ปีนี้ก็ต้องถือยาวจนอายุ 65 ปี และถ้าปีต่อมาซื้ออีกตอนอายุ 56 ปี ก็ต้องถือยาวจนอายุ 66 ปี

ถ้าคุณเป็นคนเกษียณแล้ว แต่ยังมีรายได้และอยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่นไปทำงานเป็นที่ปรึกษา เป็นต้น

เหมาะ แต่ต้องถามว่าจะมีรายได้ที่ต้องเสียภาษี (รายได้พึงประเมิน) ต่อเนื่อง 5 ปีหรือไม่ เพราะถ้าซื้อแล้วต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี แต่มีรายได้พึงประเมินแค่ปีเดียว ก็ไม่เหมาะที่จะลงทุน

เหมาะ แต่ต้องถามว่า เงินนี้เป็นเงินเย็นและจะไม่ใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือไม่ ดังนั้น ถ้าการทำงานหลังเกษียณ เพื่อนำรายได้มาใช้ในชีวิตประจำวันในแต่ละปี ก็ไม่เหมาะที่จะลงทุน

 

ทั้งนี้ ในการวางแผนภาษี สิ่งสำคัญที่สุด คือ อย่าลืมคำนวณวงเงินสูงสุดที่ซื้อได้ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตาม เพราะถ้าผิดเงื่อนไขนอกจากต้องคืนภาษี ยังมีเบี้ยปรับเงินเพิ่ม และอาจต้องเสียภาษีกำไรจากการขายอีกด้วย ดังนั้น เงินลงทุนควรเป็นเงินเย็น ที่วางแผนเก็บออมแยกจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเรียบร้อยแล้ว


สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค การวิเคราะห์ GDP รวมไปถึงการใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจนั้น ๆ ได้ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน