เลือกกองทุนรวมตามภาวะตลาด

โดย กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์ข้อมูลอาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด
3 Min Read
30 พฤศจิกายน 2563
793 views
TSI_Article_090_Inv_Thumbnail
Highlights
  • ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง จะมีสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ หากเลือกลงทุนได้เหมาะกับภาวะตลาด

  • กองทุนรวมถือเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ เพราะเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนน้อย อีกทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพมาคอยดูแลและบริหารให้เป็นอย่างดี

  • การเลือกกองทุนรวมให้เหมาะกับภาวะตลาด นอกจากดูว่าตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลงแล้ว ควรดูควบคู่ไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจด้วย

คำกล่าวที่ว่า “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงที่ และถาวร” เป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ ในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน ตลาดก็มีทั้งภาวะที่เป็นขาขึ้นและขาลง หมุนเวียนสลับกันไป


สัญญาณอย่างหนึ่งที่ใช้ดูภาวะตลาดได้ดี คือ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ซึ่งหากดัชนีบวกขึ้นไปมากกว่า 20% จากจุดต่ำสุด ก็อาจหมายถึงการเข้าสู่ภาวะตลาดขาขึ้น แต่หากดัชนีปรับลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด ก็อาจหมายถึงการเข้าสู่ภาวะตลาดขาลง ทั้งนี้ นักลงทุนควรพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย


ช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ใดก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ในทางกลับกันหากตลาดเป็นขาลง เศรษฐกิจชะลอตัว ก็ต้องปรับสัดส่วนการลงทุน ด้วยการถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด จะมีสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ หากเลือกลงทุนได้เหมาะกับภาวะตลาด


กองทุนรวมถือเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ เพราะเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนน้อย มีการกระจายความเสี่ยง กระจายการลงทุน อีกทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพมาคอยดูแลและบริหารให้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากต้องการเลือกลงทุนในกองทุนรวมให้เหมาะกับภาวะตลาด นอกจากดูว่าตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลงแล้ว ควรดูควบคู่ไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจด้วย ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ช่วง ดังนี้
 

ระยะถดถอย (Full Recession)


ระยะนี้ถือเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ในตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง มีความผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มตัว มีการปรับลดพอร์ตหุ้นลง และเพิ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง


ดังนั้น ในช่วงนี้ควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนไปทางต่ำ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและมูลค่าของตราสารหนี้มีลักษณะแปรผกผันต่อกัน กล่าวคือ เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง มูลค่าของตราสารหนี้จะสูงขึ้น


โดยควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารสั้น (Duration) ประมาณ 1 - 3 ปี เพราะหากเลือกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารยาว เวลาที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น กองทุนจะมีโอกาสติดลบและขาดทุนได้


ระยะเริ่มฟื้นตัว (
Early Recovery)


ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวขึ้น การจับจ่ายใช้สอย การลงทุนและตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคัก ดังนั้น ควรลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงปานกลาง เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น


กองทุนรวมที่น่าลงทุนในช่วงนี้ คือ กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) เพราะเป็นกองทุนที่มีการผสมสินทรัพย์ลงทุนระหว่างหุ้น และตราสารประเภทอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ โดยมีการกำหนดอัตราส่วนของหุ้นไม่น้อยกว่า 35% แต่ต้องไม่เกิน 65% ของหน่วยลงทุน ซึ่งช่วยให้มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน หรือกำไรที่มากขึ้น


อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมผสมจัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง แต่ได้มีการกำหนดอัตราส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารประเภทอื่นๆ ไว้ จึงช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้


ระยะฟื้นตัวแล้ว (
Full Recovery)


เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ระยะนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะอยู่ในจุดสูงสุด ผลประกอบการบริษัทต่างๆ ดีอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นจากการใช้จ่ายที่มากขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเป็นขาขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่เป็นขาขึ้น มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีเป็นจำนวนมาก


ดังนั้น กองทุนรวมความเสี่ยงสูงที่สามารถคาดหวังผลตอบแทนระดับสูงได้ จึงเป็นกองทุนรวมที่น่าสนใจและเลือกมาลงทุน คือ กองทุนรวมหุ้น หรือ กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund)


กองทุนรวมหุ้นจะเน้นลงทุนในตราสารทุนประเภทต่างๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้น ไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV) กองทุนนี้แม้มีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง แต่ก็สามารถมุ่งหวังการเติบโต และสร้างผลตอบแทนที่ดีได้


ระยะเริ่มถดถอย (Early Recession)


ระยะนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงระดับสูง ตลาดหุ้นช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วง Market Bottom คือ มีโอกาสที่จะทำจุดต่ำสุด จึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เน้นการรักษาเงินต้น เพื่อลดโอกาสขาดทุน


กองทุนรวมที่ควรเลือกลงทุนในช่วงนี้ คือ กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เพราะเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี มีความเสี่ยงต่ำ มีความผันผวนของราคาน้อย จึงเหมาะกับการพักเงินระยะสั้นในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี เป็นขาลง และผลตอบแทนที่ได้จะไม่สูงมากนัก


นอกจากนี้ กองทุนรวมดังกล่าวยังมีสภาพคล่องสูง ดังนั้น จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยอีกด้วย


แต่ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงไหน การจัดและบริหารพอร์ตกองทุนรวมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม หรือปรับให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตกองทุนรวม และยังช่วยลดการกระจุกตัวของกองทุนรวมประเภทเดียวกันได้อีกด้วย


ดังนั้น หากมีการบริหารจัดการพอร์ตกองทุนรวมให้ดี ให้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะผ่านภาวะต่างๆ ไปได้ โดยเหมาะสมกับความเสี่ยงและสไตล์การลงทุนของตนเอง ก็จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างความมั่งคั่งจากกองทุนรวมได้ ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดใด หรือช่วงเวลาไหนก็ตาม


สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวม และอยากรู้จักกองทุนรวมแบบเจาะลึก สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “กองทุนรวม The Series” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: