ซื้อ SSF - RMF ช่วงตลาดตก ดีหรือไม่

“รู้งี้ ซื้อ SSF - RMF ตั้งแต่ดัชนีแตะ 1,000 จุดดีกว่า” ทุกครั้งที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องจะได้ยินประโยคนี้เสมอ เพราะโดยหลักการลงทุนที่ดี นักลงทุนควร “ซื้อในช่วงต้นทุนต่ำ” แต่ในทางปฏิบัติ กว่าเราจะตัดสินใจ ก็มักได้ “ซื้อของแพง”

ลงทุน SSF และ RMF ควรเริ่มตอนไหนดี?

คำตอบคือ ลงทุนเมื่อพร้อมและควรซื้อในช่วงตลาดเป็นขาลง เพราะว่า SSF และ RMF เป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถลงทุนได้ในลักษณะทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar Cost Average: DCA) ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าการทยอยลงทุนอาจไม่ใช่วิธีที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยบริหารความเสี่ยงได้อย่างดีทีเดียว

ควรทยอยลงทุน SSF และ RMF อย่างสม่ำเสมอ

การทยอยลงทุนเป็นการทยอยเข้าไปซื้อ ด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กัน ทุกเดือน หรือทุกไตรมาส และทำต่อเนื่องกันไป จึงทำให้ได้ถัวเฉลี่ยต้นทุนไปเรื่อยๆ ที่สำคัญเหมาะกับผู้ที่ยังไม่กล้าใส่เงินก้อนเข้าไปใน SSF และ RMF รวมถึงผู้ที่มีเงินออมจำนวนจำกัด

การลงทุน SSF และ RMF ด้วยวิธีทยอยลงทุนเป็นวิธีที่น่าสนใจ เพราะผู้ที่เสียภาษีจะรู้ว่าปีนั้นๆ ตัวเองต้องจ่ายภาษีเท่าใด จึงรู้ว่าควรจัดสรรเงินออมมาลงทุนใน SSF และ RMF เท่าใด ซึ่งหากรอลงทุนตอนสิ้นปีครั้งเดียวก็อาจต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่พอสมควร

“SSF และ RMF นอกจากได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว สิ่งสำคัญ คือ เป็นการลงทุนเพื่อสะสมเงินเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ ดังนั้น ควรลงทุนให้ได้ต่อเนื่องแบบ DCA ยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับฐานลงมามาก หากลงทุนในช่วงนี้จะทำให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ” สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ แนะนำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนและปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนเกิดความลังเลในการลงทุน ประเด็นนี้สาห์รัช อยากให้มองย้อนกลับในช่วงเกิดวิกฤติซับไพรม์ (ปี 2551) ซึ่งตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างมาก แต่หลังจากมีมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ได้คลี่คลาย ตลาดหุ้นก็รีบาวน์ และเป็นขาขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

“หากเป็นมือใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุน SSF และ RMF ในช่วงเกิดวิกฤติ COVID-19 ที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง นับเป็นโอกาสและจุดเริ่มต้นที่ดีในการลงทุน ไม่เพียงแค่ตลาดหุ้นเท่านั้น แต่เป็นช่วงที่ดีในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs เป็นต้น”

ซื้อ SSF และ RMF แบบไหนให้ถูกใจ

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ “ควรเน้นลงทุนอะไรระหว่าง SSF กับ RMF” สาห์รัช อธิบายว่า ก่อนอื่นให้ถามตัวเองว่า มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน “เงินลงทุนเย็นพอหรือไม่ เพราะ SSF และ RMF คือ การลงทุนแล้วถือยาว” ถัดจากนั้นให้สำรวจระดับความเสี่ยง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วหากอายุยังน้อยก็รับความเสี่ยงได้สูง และความสามารถในการรับความเสี่ยงจะค่อยๆ ลดลงตามอายุที่มากขึ้น

“ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้น ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ วิธีการเบื้องต้นให้ศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ที่สำคัญควรกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นวางแผนลงทุน ซึ่งวิธีการกระจายความเสี่ยงสามารถทำได้โดยดูการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงเลี้ยงชีพว่าตัวเองเลือกนโยบายการลงทุนแบบใด หากเน้นตราสารหนี้ ก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อ SSF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ส่วน RMF ก็เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น”

สาห์รัช ย้ำว่า SSF และ RMF เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ได้หวังทำกำไรในสิ้นปีนี้หรือปีหน้า แต่มองไปในอีก 8 ปี 10 ปีข้างหน้า และถ้าใช้ปัจจัยเรื่องดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลงจากผลกระทบของเชื้อไวรัส COVID-19 ถือว่าเป็น “ราคาที่ไม่แพง” ดังนั้น หากรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างนาน “วันนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน”

จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าหากลงทุนได้ในระยะยาว เช่น 10 ปีขึ้นไป ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี และเป็นการสร้างวินัยการลงทุนอีกด้วย “ยิ่งลงทุนต่อเนื่องด้วยวิธี DCA เมื่อถึงวันนั้นก็จะมีเงินสะสมก้อนที่ใหญ่และเพียงพอให้ใช้หลังเกษียณ ดังนั้น ถ้าไม่ลงทุนตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปลงทุนตอนไหน” สาห์รัช กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวม SSF & RMF และอยากรู้จักกองทุนแบบเจาะลึกมากขึ้น ทั้งในแง่ภาพรวมของกองทุน กลยุทธ์การลงทุน ตลอดจนเทคนิคการประหยัดภาษีอย่างฉลาด ไม่ควรพลาดฟังคลิปสัมมนาออนไลน์ย้อนหลัง หัวข้อ “รอบรู้ลงทุน SSF & RMF” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน