เคยสงสัยหรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีตั้งมากมายกว่าร้อยตัวเลข แถมแต่ละตัวเลขยังมีการประกาศผ่านสื่อต่างๆ แทบทุกวัน บางวันตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี หุ้นก็ขึ้น พอวันถัดมาตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นก็ลง
แล้วนักลงทุนมือใหม่อย่างเรา จะดูตัวเลขเศรษฐกิจไหนดี???
ขอบอกตรงนี้เลยว่า... การตามตัวเลขเศรษฐกิจรายวัน ปล่อยให้นักเก็งกำไรมืออาชีพเขาทำกันดีกว่า ส่วนนักลงทุนมือใหม่อย่างเราๆ อาจตามแค่ 2 ตัวเลขก็พอ ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้เห็นภาพเศรษฐกิจปัจจุบันว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง แถมยังสามารถกำหนดทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้ด้วย
ตัวเลขแรก คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือตัวเลขการขยายตัวของจีดีพี (Gross Domestic Product : GDP) เป็นตัวเลขที่แทบจะนำตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวมาสะท้อนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การใช้จ่าย การส่งออก และการนำเข้า
สำหรับตัวเลขที่สอง คือ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคว่าปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด เช่น เงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ก็หมายถึง ราคาสินค้าแพงขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งกรอบเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 0 - 3.5%
โดยปกติตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้มักจะไปด้วยกัน พูดง่ายๆ คือ เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัว เงินเฟ้อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้น และหากเศรษฐกิจหดตัว เงินเฟ้อก็ปรับลดลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจ
ภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลานั้น ทำให้การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีความแตกต่างกันไปด้วย โดยภาวะเศรษฐกิจออกเป็น 4 ระยะ
GDP Growth ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ลงทุนอย่างไร? : ช่วงเวลานี้เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” มากที่สุด เพราะหุ้นจะได้ผลบวกโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและเศรษฐกิจที่ขยายตัว ในขณะที่ตราสารหนี้และเงินฝากจะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า
GDP Growth จะเริ่มปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลงทุนอย่างไร? : ช่วงเวลานี้เหมาะกับการลงทุนใน “ทองคำ” มากที่สุด เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองและป้องกันเงินเฟ้อได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นไม่น่าสนใจ เพียงแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงนี้ จะเต็มไปด้วยความผันผวน การกำหนดกลยุทธ์ลงทุนจึงทำได้ยาก
GDP Growth ติดลบต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส (QoQ) หาก GDP Growth ลดลง แต่ไม่ถึงกับติดลบ ก็จะเป็นแค่ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ลงทุนอย่างไร? : ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ไม่ควรลงทุนในหุ้นมากที่สุด เพราะกำไรของบริษัทจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก ส่วน “ตราสารหนี้” ก็ไม่น่าสนใจ เพราะดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ “เงินฝาก” จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ขยับเพิ่มขึ้น
GDP Growth หดตัว จนทำจุดต่ำสุดใหม่และมีอัตราการว่างงานสูงสุด
ลงทุนอย่างไร? : ช่วงเวลานี้หุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก “ตราสารหนี้” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและได้รับผลประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง มีความน่าสนใจมากกว่า
จะเห็นว่า... วัฎจักรเศรษฐกิจจะส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุน หากนักลงทุนรู้ว่า ณ ปัจจุบัน เราอยู่ในช่วงใดของวัฏจักรเศรษฐกิจ นักลงทุนก็จะสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจนั้นๆ ได้ ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนโดยรวมที่ดี และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนในที่สุด
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะบอกจังหวะลงทุนหุ้นได้ แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นยังต้องดูองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย ดังนั้น หากนักลงทุนและผู้ที่สนใจ อยากรู้และเข้าใจปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ตลอดจนสามารถนำแนวคิดและขั้นตอนในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาใช้เพื่อคัดกรองหุ้นที่มีพื้นฐานดีเหมาะกับการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุนหุ้นมั่นใจ ต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐาน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่