ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็มีแต่คนดูกราฟหุ้น กลายเป็นกระแสการลงทุนประเภทที่ว่า ถ้าไม่ดูกราฟ จะคุยกับนักลงทุนคนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่เนื่องจากการดูกราฟหุ้นหรือที่เรียกในภาษาวิชาการว่า “วิเคราะห์ทางเทคนิค” เต็มไปด้วยหลักการและเครื่องมือมากมาย นักลงทุนหลายคนอาจเกิดอาการสับสนและใช้เครื่องมือผิดวิธี จนทำให้ตัดสินใจลงทุนผิดพลาดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม... ลองมาทำความเข้าใจ กฎ 10 ข้อ มือใหม่หัดวิเคราะห์เทคนิคต้องรู้ กันดีกว่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การศึกษาพฤติกรรมของคนที่เข้ามาซื้อขายในตลาด ณ ปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร และศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งการเข้าใจพฤติกรรมดังกล่าว นักลงทุนต้องอาศัยการเฝ้าสังเกตและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลาที่นานพอ เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้รูปแบบการเล่นและเครื่องมือที่ใช้ก็อาจจะแตกต่างกันด้วย
การใช้เครื่องมือทางเทคนิคให้ได้ผล จำเป็นต้องซื้อขายหุ้นให้ ถูกที่ ถูกเวลา สามารถประเมินโอกาสที่จะเกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มในอนาคตได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและวัฏจักรของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา
วัฎจักร (Cycle) ของราคามี 4 ระยะ ได้แก่
ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นนั้น ราคาจะมีโอกาสสูงขึ้นได้ง่ายกว่า ขณะที่ช่วงขาลง ราคาจะมีโอกาสลงต่อสูงกว่า การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้ถูกต้องตามแนวโน้มของวัฎจักรราคา จึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ เพราะการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มนั้น มักจะทำให้เกิดผลขาดทุนได้ง่าย
4. ความสำคัญของปริมาณซื้อขาย
ปริมาณซื้อขายหุ้น (มักเรียกกันสั้นๆ ว่า “Volume”) คือ ปริมาณเม็ดเงินที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายจริงในช่วงเวลานั้น จึงสามารถบ่งบอกถึงน้ำหนักนัยสำคัญของทิศทางราคาได้เป็นอย่างดี เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการยืนยันแนวโน้มว่ายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เพื่อให้ตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“แนวรับ” คือ ระดับราคาที่เม็ดเงินกลุ่มใหญ่ในตลาด เห็นว่าเป็นราคาที่ถูก และเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาสามารถเด้งกลับขึ้นมาได้ค่อนข้างง่าย ขณะที่ “แนวต้าน” คือ ระดับราคาที่ตลาดเห็นว่าแพงเกินไป และพากันแย่งขาย ทำให้ราคาจะเคลื่อนผ่านจุดนี้ขึ้นไปต่อค่อนข้างลำบาก หากราคาสามารถวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านเหล่านี้ได้ ราคาก็มักจะไปต่อในทิศทางนั้นอย่างมีนัยสำคัญ แนวรับและแนวต้านจึงเป็นจุดสำคัญสำหรับตัดสินใจซื้อขายหุ้นหลังจากทำการวิเคราะห์ในส่วนอื่นๆ มาแล้ว
รูปทรงของกราฟ (Chart Pattern) คือ รูปแบบพฤติกรรมราคาที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยปกติจะมีลักษณะคล้ายกับการนำเส้นแนวรับ แนวต้าน และแนวโน้มมาผสมผสานกัน การทำความเข้าใจกับ Pattern แบบต่างๆ จะช่วยให้ประเมินหาจุดกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลจากช่วงเวลาที่แตกต่างกัน (Time Frame) จะทำให้สามารถมองเห็นและแยกแยะถึงแนวโน้มของราคาในระยะต่างๆ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนจะต้องเข้าใจ เพื่อป้องกันการเข้าซื้อขายหุ้นที่ผิดจังหวะ
เครื่องมือต่างๆ มักมีข้อจำกัดในตัวมันเอง เช่น เครื่องมือประเภทตัวชี้วัด (Indicator) นั้น มีทั้งแบบที่เหมาะกับช่วงตลาดที่มีแนวโน้ม (Trend Following) และแบบที่เหมาะกับช่วงที่ตลาดยังมีแนวโน้มไม่ชัดเจน แต่มีการเคลื่อนไหวในระดับที่มากพอ (Oscillator)
นอกจากนั้น เครื่องมือเหล่านี้ยังจำเป็นต้องนำไปใช้ประกอบกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน รูปทรงกราฟ และปริมาณการซื้อขายด้วย การใช้เครื่องมืออย่างผิดวิธี นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มักจะพลาดกันอยู่บ่อยๆ จึงควรระวังให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้งานเครื่องมือผิดประเภทจนส่งผลเสียต่อการลงทุนได้
เครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคทุกชนิด ต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวของมันเอง นอกจากจะเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกประเภทแล้ว ยังไม่ควรใช้เครื่องมือเยอะเกินไป เพราะจะทำให้เกิดสัญญาณซื้อขายที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันเอง จนไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมได้
ไม่มีเครื่องมือใด สามารถบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% ดังนั้น ก่อนซื้อหุ้นทุกครั้ง เราจึงควรกำหนด “ราคาตัดขาดทุนที่ยอมรับได้” (จุด Cut Loss) เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรับมือกรณีที่ราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และป้องกันการขาดทุนหนัก รวมถึง “ราคาสำหรับขายทำกำไร” (จุด Take Profit) เพื่อป้องกันไม่ให้ขายช้าเกินไป จนกำไรที่มีอยู่กลับกลายเป็นขาดทุน
กฎทั้ง 10 ข้อนี้ จะช่วยให้มือใหม่ทางเทคนิค สามารถเริ่มต้นได้อย่างถูกทิศทาง และใช้งานเครื่องมือทางเทคนิคทั้งหลายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จในการลงทุนในที่สุด
วิเคราะห์กราฟเทคนิคด้วยตัวคุณเองแบบง่ายๆ ผ่าน Settrade Technical Chart บน Streaming >> คลิกที่นี่