ช่วยให้นักลงทุนสามารถขยายโอกาสทำกำไรทั้งช่วงตลาดขาขึ้นและขาลงได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยกองทุนกลุ่มนี้สามารถสร้างผลตอบแทนแบบทวีคูณ (+2x) หรือ ผกผันกลับทิศทางดัชนี (-1x หรือ -2x) ในแต่ละวัน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก L&I ETFs คืออะไร แตกต่างจาก ETF ปกติอย่างไร พร้อมตัวอย่างการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ข้อควรระวังที่ควรทราบ และมุมมองเบื้องลึก รวมถึงสรุปวิธีการใช้เชิงกลยุทธ์โดยละเอียด
L&I ETFs คืออะไร และความน่าสนใจ
Leveraged & Inverse ETFs (L&I ETFs) เป็นกองทุนรวม ETF ประเภทพิเศษที่ใช้อนุพันธ์ (เช่น สัญญาฟิวเจอร์ส) เพื่อสร้างผลตอบแทนรายวันแบบเร่งหรือแบบตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง พูดง่ายๆ คือแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก:
- Leveraged ETFs (เลเวอเรจ) คือ ETFs หรือกองทุนกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อขยายหรือย่อสัดส่วนผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงเป็นทวีคูณ ในระยะเวลาหนึ่งวัน โดยปัจจุบันสำนักงาน กลต อนุญาตให้ Leveraged ETFs มีอัตราคูณสูงสุดอยู่ที่ 2 เท่า ซึ่งหมายความว่า หากดัชนีอ้างอิงของ Leveraged ETF ปรัวตัวสูงขึ้น 1% ผลตอบแทนในระยะเวลาหนึ่งวันของ Leveraged ETFs ก็จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2% (ไม่รวมต้นทุน)
- Inverse ETFs (อินเวิร์ส) คือ ETFs หรือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อให้ผลตอบแทนที่เป็นไปในทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง ในระยะเวลาหนึ่งวัน โดยมีใช้อนุพันธ์ทางการเงินเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างผลตอบแทนคล้ายกับ Leveraged ETFs ทั้งนี้ Inverse ETFs สามารถให้ผลตอบแทนไปทางตรงกันข้ามกับดัชนีอ้างอิงแบบทวีคูณได้ภายในตัวเอง แต่ปัจจุบันสำนักงาน กลต อนุญาตให้ Inversed ETFs มีอัตราผลตอบแทนในทางตรงข้ามแบบไม่ทวีคูณเกิน 1 หรือ 2 เท่านั้น
ทำไมเราจึงควรสนใจ L&I ETFs
ข้อดีหลักของ L&I ETFs คือ ความยืดหยุ่นและโอกาส ที่เพิ่มขึ้นในการทำกำไร: ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง นักลงทุนก็สามารถเลือกใช้กองทุนประเภทนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนได้ทั้งสองทาง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงตลาดกระทิงที่ดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่อง การถือ Leveraged ETFs 2x อาจสร้างกำไรสะสมได้มากกว่า 2 เท่าของดัชนี (เพราะอานิสงส์จากการทบผลตอบแทนรายวัน) ขณะเดียวกัน หากตลาดเป็นขาลง การใช้ Inverse ETFs สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำกำไรเมื่อดัชนีตก และยังใช้เป็นเครื่องมือ ป้องกันความเสี่ยง พอร์ตหุ้นของคุณได้ เช่น หากพอร์ตลงทุนของคุณมีหุ้นใหญ่ตามดัชนี SET50 อยู่ การซื้อ Inverse ETFs จะช่วยชดเชยผลขาดทุนบางส่วนเมื่อดัชนีปรับตัวลง นอกจากนี้ L&I ETFs ยังเปิดโอกาสให้เราสร้างผลตอบแทนแบบทวีคูณ โดยไม่ต้องกู้ยืมหรือใช้มาร์จิ้นเอง ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูงได้โดยไม่ต้องมีบัญชี margin หรือเข้าใจกลไกอนุพันธ์ที่ซับซ้อน เมื่อเทียบกับการซื้อขาย futures หรือ options ที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะ รวมถึงขั้นตอนบริหารหลักประกันที่ยุ่งยาก เปรียบเสมือนเป็นการ "ยืมมือ" กองทุนบริหารจัดการเครื่องทางการเงินทั้งหมดแทน โดยที่ยังซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้สะดวกเหมือนหุ้นหรือ ETFs ปกติ
L&I ETFs ต่างจาก ETFs ปกติอย่างไร
กองทุน L&I ETFs มีความแตกต่างจาก ETFs ทั่วไปอยู่หลายประการ:
กลยุทธ์การลงทุน: ETFs ปกติเป็นกองทุนที่ ติดตามดัชนีแบบ 1 เท่า กล่าวคือผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (เช่น ดัชนีขึ้น 1% NAV กองทุนก็ขึ้นประมาณ 1%) และมักจะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ตามสัดส่วนของดัชนีนั้นจริงๆ (ถือครองหลักทรัพย์จริง) ในทางตรงกันข้าม L&I ETFs ใช้ อนุพันธ์ เช่นสัญญาฟิวเจอร์สหรือสวอปในการบริหาร ทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนเป็นหลายเท่าหรือสวนทางกับดัชนีได้ ซึ่ง ต้องมีการปรับพอร์ตทุกวัน เพื่อรักษาระดับเลเวอเรจตามที่กำหนด (Daily Reset) นั่นหมายความว่า L&I ETFs ไม่ได้ถือสินทรัพย์อ้างอิงทั้งหมดตรงๆ แต่ใช้สัญญาล่วงหน้าในการจำลองผลตอบแทน จึงมีความซับซ้อนและมีการบริหารแบบเชิงรุก (Active) มากกว่า ETFs ปกติที่เป็นการลงทุนเชิงรับ (Passive)
ระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม: ETFs ปกติสามารถถือลงทุนระยะยาวเพื่อสะท้อนการเติบโตของดัชนีได้ (เช่น ลงทุนตามดัชนี SET50 ระยะยาวเหมือนซื้อหุ้นกลุ่มใหญ่ของตลาด) แต่ L&I ETFs นั้น ออกแบบมาสำหรับการถือในระยะสั้น เป็นหลัก เนื่องจากผลตอบแทนถูกรีเซ็ตทุกวันและทบต้นไปเรื่อยๆ การถือข้ามวันนานๆ อาจทำให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ได้รับ ไม่เท่ากับที่ดัชนีเคลื่อนไหวจริงๆ แบบตรงไปตรงมา ยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวนมาก ยิ่งมีโอกาสที่ผลตอบแทนของ L&I ETFs จะต่ำกว่าที่คาดหวัง แม้ว่าดัชนีจะกลับมายืนที่จุดเดิมก็ตาม (ผลจาก Daily Compounding Effect) ดังนั้น L&I ETFs จึงเหมาะจะใช้เป็นเครื่องมือจับจังหวะขึ้น-ลงของตลาดระยะสั้น มากกว่าจะถือยาวๆ แบบกลยุทธ์ Buy & Hold แบบ ETFs ทั่วไปที่เราคุ้นเคย
การเปิดเผยข้อมูลและการคัดกรองผู้ลงทุน: ด้วยความที่ L&I ETFs มีความซับซ้อนกว่า ETFs ปกติ หน่วยงานกำกับดูแล (ก.ล.ต.) จึงกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ออกกองทุน ต้องเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับลักษณะและความเสี่ยงของ L&I ETFs อย่างละเอียดและชัดเจน เช่น ชื่อกองทุนต้องสื่อถึงกลยุทธ์การลงทุน, วิธีการลงทุนและเครื่องมือที่ใช้ (เช่น ใช้ฟิวเจอร์สกี่สัญญา), ค่าธรรมเนียมต่างๆ, ความเสี่ยงและคำเตือน รวมถึงต้องมี เครื่องมือให้ผู้ลงทุนทดลองย้อนหลัง เพื่อดูผลตอบแทน กำไร/ขาดทุนสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น (performance simulator) ประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุนจริง ขณะเดียวกัน โบรกเกอร์ผู้แนะนำการลงทุนก็มีหน้าที่ตรวจสอบความเหมาะสมของลูกค้าที่จะลงทุนในกองทุนกลุ่มนี้ ต้องแน่ใจว่าผู้ลงทุนมีความรู้และเข้าใจความเสี่ยงอย่างเพียงพอเสียก่อน และต้องมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดหลังลูกค้าลงทุนไปแล้ว เรียกได้ว่ามีการ เพิ่มการป้องกันและคัดกรอง เพื่อความปลอดภัยของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งแตกต่างจากการซื้อ ETFs ปกติที่ไม่ได้มีขั้นตอนเข้มงวดแบบนี้
สรุปให้เห็นภาพง่ายๆ: ETFs ปกติ ก็เหมือนรถยนต์ทั่วไป ขับตามความเร็วถนนไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวา ส่วน Leveraged ETFs เปรียบเสมือนรถสปอร์ตติดเทอร์โบ ที่วิ่งเร็วกว่าคันอื่น 2 เท่า และ Inverse ETFs ก็เหมือนรถที่ขับถอยหลังเมื่อคนอื่นไปข้างหน้า มันเป็นเครื่องมือให้คุณ “เล่นท่ายาก” ได้ แต่ก็ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะการควบคุมย่อมไม่ง่ายเหมือนรถบ้านทั่วๆ ไป
ใช้ L&I ETFs ให้เป็นประโยชน์: ตัวอย่างสถานการณ์ SET50
เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว มาดูตัวอย่างง่ายๆ ว่าเราจะใช้ L&I ETFs เพื่อหาผลประโยชน์ได้อย่างไรในสถานการณ์ตลาดจริง โดยสมมติว่ามี L&I ETFs อ้างอิงดัชนี SET50 ให้เราเลือกดังนี้: กองทุน 2x SET50 (เลเวอเรจสองเท่า) และ กองทุน -1x SET50 (อินเวิร์สหนึ่งเท่า) ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย
1. กรณีคาดว่าตลาดขึ้น (ขาขึ้น): หากคุณเชื่อว่าดัชนี SET50 จะปรับตัวขึ้นในระยะสั้น เช่น มีข่าวบวกหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะหนุนตลาด คุณสามารถเลือกซื้อ กองทุน 2x SET50 เพื่อเพิ่มพลังการลงทุนของคุณเป็นสองเท่า สมมติวันพรุ่งนี้ดัชนี SET50 บวก +2% กองทุน 2x ก็จะบวกประมาณ +4% (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) นั่นหมายความว่าถ้าคุณลงทุน 100,000 บาท คุณอาจได้กำไร ~4,000 บาทในวันเดียว แทนที่จะได้ 2,000 บาทหากลงทุนผ่าน ETFs ปกติหรือหุ้นตามดัชนีเท่านั้น
2. กรณีคาดว่าตลาดลง (ขาลง): ในทางกลับกัน หากคุณกังวลว่าตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลง เช่น เศรษฐกิจมีปัจจัยลบ หรือต้องการป้องกันพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่จากการปรับฐาน คุณสามารถซื้อ กองทุน -1x SET50 (Inverse) เพื่อทำกำไรเมื่อดัชนีตกลง สมมติวันพรุ่งนี้ SET50 ลดลง -2% กองทุน -1x จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ +2% ซึ่งกำไรจากกองทุนส่วนนี้จะเข้ามาชดเชยการขาดทุนของหุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคุณได้บางส่วน ถือเป็นการทำ hedging (ประกันความเสี่ยง) อย่างหนึ่ง หรือหากคุณไม่มีหุ้นอยู่เลย แต่อยากเก็งกำไรขาลงโดยไม่ต้องขายชอร์ต (Short selling) เอง การซื้อ Inverse ETFs ก็ตอบโจทย์มาก เพราะง่ายเหมือนซื้อกองทุนทั่วไป แต่ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับตลาดทันที
3. กรณีตลาดผันผวนขึ้น-ลงไม่ชัดเจน: ต้องยอมรับว่า L&I ETFs จะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในกรณีที่ตลาดมี ทิศทางชัดเจน (ขึ้นรวดหรือลงต่อเนื่อง) เพราะการปรับพอร์ตทบต้นรายวันจะส่งผลให้ผลตอบแทนสะสมของกองทุนดีเกินคาดเมื่อเทียบกับดัชนีในกรณีตลาด Trending แต่ถ้าตลาด แกว่งขึ้นๆ ลงๆ ไร้ทิศทางที่แน่นอน ผลตอบแทนของ L&I ETFs อาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ เพราะความผันผวนจะลดทอนพลังของการทบต้นรายวัน ทำให้กำไรหายไปบางส่วนหรืออาจกลายเป็นขาดทุนได้เลย แม้ดัชนีสุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงไม่มากก็ตาม (นักลงทุนบางคนเรียกผลกระทบนี้ว่า Volatility Decay หรือ Volatility Drag ตัวอย่างเช่น ถ้าวันที่ 1 ดัชนี SET50 ขึ้น +5% และวันถัดมาลง -5% กลับมาจุดเดิมพอดี นักลงทุนถือหุ้นตามดัชนีไว้อาจไม่ได้กำไรหรือขาดทุนอะไร แต่สำหรับกองทุน 2x นั้น วันแรกจะขึ้น 10% และวันที่สองลง -10% ซึ่ง 10% ของมูลค่าที่สูงขึ้นจะทำให้พอร์ตลดลงมากกว่า 10% ของมูลค่าเริ่มต้น ผลคือพอร์ตกองทุนอาจขาดทุนสุทธิเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มลงทุน ทั้งที่ดัชนีกลับมายืนเท่าเดิมแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ L&I ETFs ต้องเข้าใจและสนใจเป็นพิเศษ โดยทั่วไปคำแนะนำคือ ไม่ควรถือ L&I ETFs นานเกินกว่าระยะเวลาที่คุณมีมุมมองต่อทิศทางตลาด เช่น ถ้าคิดว่าตลาดจะขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ก็ใช้ในกรอบเวลานั้นและประเมินใหม่เรื่อยๆ อย่าถือยาวหลายเดือนโดยไม่ติดตาม เพราะผลลัพธ์อาจออกมาแตกต่างจากที่ตั้งใจไว้เป็นอย่างมาก
ปัจจัยแฝงที่มิอาจมองข้าม Volatility Decay
Volatility decay คือการเสื่อมมูลค่าของกองทุน Leveraged/Inverse ที่เกิดจากการ รีเซ็ตเลเวอเรจทุกวัน (daily reset) ซึ่งทำให้ผลตอบแทนถูกทบต้นวันต่อวัน—เมื่อราคาแกว่งขึ้นลง การทบต้นบนฐานราคาที่ต่างกันจะทำให้มูลค่ากองทุนลดลงแม้ดัชนีจะกลับมาที่เดิม
ตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าถือกองทุน Leveraged ETF 2x เริ่ม 100 บาท
วันแรกดัชนี +5% → กองทุนเป็น 110 บาท;
วันที่สองดัชนี -5% → กองทุนลดลง 10% ของ 110 → 99 บาท
สรุป: ดัชนีกลับมาเท่าเดิม แต่กองทุนขาดทุน 1 บาท — นี่แหละคือ volatility decay.
เพื่อตรวจสอบค่าแบบคร่าวๆว่า L&I ETFs นั้นๆ มีค่าประมาณเท่าใด สามารถคำนวณได้จากสูตรดังนี้
สูตรคำนวณ (มุมมองแบบ log-return; แปลงเป็น % ได้โดยประมาณ)
Decay/วัน ≈ 0.5 × (L² - L) × σ²
Decay โดยรวม ≈ Decay รายวัน × T
โดย L = ค่าเลเวอเรจหรืออินเวิร์สของ ETF (เช่น 2 หรือ -1 เท่า ตาม L&I ETFs ที่เลือก)
σ = ความผันผวนรายวันของดัชนี (เป็นเปอร์เซ็นต์)
T = จำนวนวันที่ต้องการลงทุน
วิธีคำนวณแบบเร็วๆเป็นขั้นตอน
1. วัด σ รายวัน ของดัชนี SET50 ช่วงสั้น เช่น 10–20 วันล่าสุด
2. ระบุ L ของกอง (2 หรือ -1) และ T จำนวนวันคงถือ
3. คำนวณ Decay/วัน = 0.5 × (L² - L) × σ²
4. คำนวณ Decay รวม ≈ Decay/วัน × T
5. รวมกับ ต้นทุนถือรายวัน (carry bps/day) และ สเปรดเข้า–ออก เพื่อได้ “all-in headwind”
หมายเหตุ: สูตรนี้เป็นการประมาณแบบง่ายในกรอบ log-return และผลรวมวันน้อยถึงปานกลาง ผลจริงขึ้นกับเส้นทางราคาและการรีบาลานซ์รายวัน
ตัวอย่างการคำนวณแบบที่ 1
สมมติ σ = 1.5%/วัน = 0.015, L = 2, T = 10 วัน
Decay/วัน = 0.5 × (4-2) × 0.015² = 0.000225 = 2.25 bps/วัน
10 วัน ≈ 22.5 bps หรือ ~0.225% ของค่าแบบ log
ตัวอย่างการคำนวณแบบที่ 2
กรณี L = -1 ที่ σ เดียวกัน → Decay/วัน = 0.5 × (1 - (-1)) × 0.015² = 0.000225 = 2.25 bps/วัน เช่นกัน
ถ้า σ = 2.0% และ L = 2 → Decay/วัน = 0.5 × 2 × 0.02² = 0.0004 = 4 bps/วัน; 10 วัน ≈ 0.40%
สรุปการใช้เชิงกลยุทธ์
1. σ ต่ำ–ปานกลาง + เทรนด์ชัด → เหมาะสมที่สุด ผลกระทบ Decay ต่ำ
2.σ ต่ำ–ปานกลาง + เทรนด์อ่อน → เสี่ยง Decay ลดทอนผลตอบแทน
3. σ สูง + เทรนด์ชัด → ใช้ได้เฉพาะระยะสั้น
4. σ สูง + เทรนด์อ่อน → ผลกระทบ Decay สูง ควรหลีกเลี่ยง
ก่อนตัดสินใจลงทุน ให้รวมผลกระทบจาก Decay + ต้นทุนถือครอง (Carry) + สเปรดซื้อขาย เพื่อประเมินต้นทุนแฝงอื่นๆ หรือ “All-in Hurdle” ที่ผลตอบแทนต้องเอาชนะให้ได้
ถ้าคำนวณข้างต้นยากไป เรามีเกณฑ์ 3 ข้อ ง่ายๆประเมิน Decay:
1. ถ้า σ < 1%/วัน + ถือ < 5 วัน = Decay น้อยมาก (~0.1%)
2. ถ้า σ = 1.5%/วัน + ถือ 10 วัน = Decay ปานกลาง (~0.5%)
3. ถ้า σ > 2%/วัน + ถือ > 20 วัน = Decay สูง (>2%)
⚠️ Warning Zone: ถ้า σ > 2.5%/วัน ไม่ควรถือเกิน 3 วัน
ต้นทุนแฝงอื่นๆที่นักลงทุนมักมองข้าม
1. Financing Cost (~2-4% ต่อปี): ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับ leverage
2. Tracking Error: ความคลาดเคลื่อนจากดัชนีเนื่องจากการ rebalance
3. Bid-Ask Spread: สเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อเสนอขาย อาจกว้างได้มากกว่า ETFs ปกติ 3-5 เท่า โดยเฉพาะช่วงผันผวน
4. Management Fee: ค่าบริหารจัดการกองทุนอาจสูงกว่า ETFs ปกติ 5-10 เท่า (L&I ETFs: 0.95-1.5% vs EFT: 0.15-0.25%)
บทส่งท้าย: เครื่องมือใหม่ที่มาพร้อมความท้าทาย
Leveraged & Inverse ETFs ที่เปิดตัวในไทย จะอ้างอิงกับดัชนี SET50 TRI นับเป็นโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุนไทยอย่างแท้จริง เพราะเราจะสามารถเข้าถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบใหม่ๆ ที่เคยมีเฉพาะในต่างประเทศ เพิ่มทั้ง พลังในการทำกำไร และ เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ในสภาวะตลาดหลากหลายรูปแบบ อย่างไรก็ดี เครื่องมือที่ทรงพลังย่อมมาพร้อมความรับผิดชอบที่มากขึ้น นักลงทุนที่สนใจใช้ L&I ETFs ควรเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาให้เข้าใจกลไกและความเสี่ยงอย่างถ่องแท้ ฝึกวางแผนการเทรดให้รัดกุม และอาจลองลงทุนด้วยจำนวนเงินไม่มากในช่วงแรกเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของมันก่อน
ภาครัฐและเอกชนเองก็เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ลงทุนเต็มที่ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส การให้ความรู้ผ่านบทความ (อย่างเช่นที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้) รวมถึงเครื่องมือจำลองผลการลงทุนย้อนหลังที่บางบลจ.จะพัฒนาให้ใช้งาน ทุกฝ่ายหวังว่า L&I ETFs จะกลายเป็น พระเอกคนใหม่ในพอร์ตของนักลงทุนไทย ที่ใช้อย่างถูกวิธีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน ไม่ใช่ระเบิดเวลาลูกใหม่ ดังนั้นอยู่ที่พวกเราครับว่าจะเรียนรู้และใช้พระเอกคนนี้ได้ดีแค่ไหน
ท้ายที่สุด เมื่อผลิตภัณฑ์พร้อมและความรู้พร้อม โลกการลงทุนไทยก็จะก้าวสู่ยุคใหม่ที่เราสามารถ “ทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด” ไม่ว่าขาขึ้นหรือขาลง ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติและสนุกกับเครื่องมือใหม่อย่างสร้างสรรค์ครับ
"บทความนี้เป็นการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน"
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
www.sec.or.th