รู้จัก “DW” เครื่องมือสร้างโอกาสทำกำไรในทุกสภาวะ

โดย SET
5 Min Read
20 สิงหาคม 2568
785 views
dw-gain-profit-1
In Focus

DW หรือ Derivative Warrants คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่ง ที่ให้สิทธิในการซื้อ (Call DW) หรือสิทธิในการขาย (Put DW) หลักทรัพย์อ้างอิงในอนาคต เช่น หุ้นและดัชนีต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งผู้ลงทุน สามารถใช้สิทธิทั้งหมดได้ตามราคาใช้สิทธิ อัตราใช้สิทธิ และวันที่ใช้สิทธิตามกำหนด

โดยกลไกของสิทธิในการซื้อ และสิทธิในการขาย จะมีการเคลื่อนไหวต่อหลักทรัพย์ในรูปแบบที่ต่างกัน คือ

↗️ Call DW ราคาจะเคลื่อนไหวใน “ทิศทางเดียวกัน” กับหลักทรัพย์อ้างอิง

↘️ Put DW ราคาจะเคลื่อนไหวแบบ “สวนทางกัน” กับหลักทรัพย์อ้างอิง

 

ทำไม DW ถึงน่าสนใจ และตอบโจทย์ช่วงตลาดผันผวน ?

5 เหตุผลที่นักลงทุนต้องเปิดใจให้กับ DW

เหตุผลที่ 1 : มี Leverage Effect หรือ “อัตราทด ” (เรียกอีกอย่างว่า Effective Gearing) คือ สิ่งที่จะทำให้ผู้ลงทุน ใช้เงินน้อยกว่า เพื่อลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรงได้ แถมยังช่วยเรื่องการทวีคูณผลตอบแทนได้ หากลงทุนถูกจังหวะ

เหตุผลที่ 2 : เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น และขาลง ได้ โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนทั้งในทิศทางเดียวกัน หรือตรงข้ามกับหลักทรัพย์อ้างอิงได้ ผ่านการใช้ Call DW และ Put DW

เหตุผลที่ 3 : สามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้ ในกรณีที่ราคาหลักทรัพย์อ้างอิงมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนสามารถเลือก Put DW ในหลักทรัพย์อ้างอิงตัวนั้น ๆ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยที่ไม่ต้องขายหลักทรัพย์อ้างอิงออกไปจากพอร์ต

เหตุผลที่ 4 : เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น ผ่านหลากหลายสินทรัพย์ที่อ้างอิง เช่น การสร้างผลตอบแทนในหุ้นและดัชนีต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดล้วนซื้อขายด้วยสกุลเงิน “บาท” ทั้งสิ้น

เหตุผลที่ 5 : ลงทุนสะดวก และมีผู้ดูแลสภาพคล่อง หรือ Market Maker ที่จะคอยกำหนดปริมาณ Bid และ Offer ให้สอดคล้องกับสภาพคล่องของหลักทรัพย์อ้างอิงตัวนั้น ๆ นั่นจึงทำให้ผู้ลงทุน สามารถลงทุนได้ทันทีเพียงแค่มีบัญชีหุ้นไทย โดยเริ่มต้นขั้นต่ำที่ 100 หน่วยเท่านั้น

dw-gain-profit-2

3 เรื่องที่ต้องเข้าใจ ก่อนเลือกใช้ DW ในช่วงตลาดผันผวน

1) เข้าใจ “ลักษณะของ DW” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีลักษณะที่ต้องเข้าใจอยู่ทั้งหมดหลัก ๆ 3 ประการ คือ

⚠️ อัตราทด (Effective Gearing) ที่ช่วยสร้างผลตอบแทนแบบทวีคูณ หรืออาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนมากกว่าหลักทรัพย์อ้างอิงได้เช่นกัน หากเลือกลงทุนผิดทาง

⚠️ อายุที่จำกัด สามารถส่งผลให้มูลค่าทางเวลา (Time Value) ของหลักทรัพย์อ้างอิง DW ตัวนั้น ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ หากเวลาผ่านไปนานยิ่งขึ้น ซึ่งการลดลงทางมูลค่า จะถูกเรียกว่า “Time Decay” 

⚠️ ด้วยปัจจัยจากอัตราทด และ Time Decay ทำให้ผลขาดทุนสูงสุดของการลงทุน DW นั้น อาจเท่ากับมูลค่าเงินลงทุนที่ใช้เริ่มต้นเทรด DW ได้

2) เข้าใจ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา”

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อเรื่องของการขยับขึ้นลงของราคา DW จะมีความสัมพันธ์ที่ส่งผลกันอยู่ใน 6 ประเด็น คือ

- ราคาหลักทรัพย์อ้างอิง เมื่อราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลดีต่อผู้ที่ทำการ Call DW เอาไว้ เนื่องจาก Call DW จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาหลักทรัพย์อ้างอิง 

ขณะที่เมื่อราคาปรับตัวลดลง ก็จะส่งผลดีต่อ Put DW ที่ผู้ลงทุนถือไว้เนื่องจาก Put DW จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อราคาหลักทรัพย์อ้างอิงลดลง ซึ่งในจุดนี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ Hedging เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถือหุ้นในพอร์ตการลงทุนได้เช่นกัน

- อัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยยิ่งเพิ่มสูงขึ้น การใช้ DW ก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนซื้อหลักทรัพย์อ้างอิงนั้น ๆ สูงขึ้นตามไปด้วย และจะส่งผลให้ Call DW มีราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยยิ่งลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนซื้อหลักทรัพย์อ้างอิงนั้น ๆ ต่ำลงตาม จนส่งผลให้ Put DW มีราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง

- ความผันผวนแฝง เมื่อความผันผวนในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ก็มักจะส่งผลที่ดีต่อจังหวะ Call และ Put ของ DW ทั้งสิ้น เพราะความผันผวนแฝง จะยิ่งทำให้หลักทรัพย์อ้างอิงมีการเคลื่อนไหวของราคามากขึ้น เมื่อบวกกับกลยุทธ์การใช้อัตราทด ก็จะยิ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมไปด้วย

- อายุคงเหลือ ยิ่งอายุคงเหลือมากเท่าไร ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อทั้ง Call และ Put ของ DW ตัวนั้น ๆ และยิ่งราคาไปถึงเป้าหมายได้เร็ว ก็จะยิ่งทำกำไรได้มากขึ้น เพราะเมื่อ DW ใกล้หมดอายุ ค่าเสื่อมเวลา (Time Decay) จะทำให้ราคา DW ลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะไม่เปลี่ยนแปลง

- ราคาใช้สิทธิ (Exercise Price) ราคาใช้สิทธิของ DW แต่ละตัว จะถูกกำหนดก่อนการซื้อขาย DW ตัวนั้น ๆ ซึ่งถ้าหากว่าราคาใช้สิทธิมีราคาที่สูง ก็จะส่งผลดีต่อการ Put DW ขณะเดียวกันถ้าหากว่าราคาใช้สิทธิมีราคาอยู่ในระดับต่ำ ก็จะส่งผลดีต่อการ Call DW

- ปันผลของสินทรัพย์อ้างอิง หากหลักทรัพย์อ้างอิงมีการจ่ายเงินปันผล โดยปกติแล้วราคาของหลักทรัพย์อ้างอิงจะมีการปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ และนั่นจึงส่งผลให้ราคาของ DW ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์นั้น ๆ มีการปรับตัวลดลงตามไปด้วย

 

3) เข้าใจชื่อ DW แต่ละรุ่น หลักทรัพย์อ้างอิง 1 อย่าง จะมีให้เลือกรูปแบบ DW ที่แตกต่างกันออกไปมากมาย ทั้งชื่อย่อหลักทรัพย์ที่อ้างอิง รหัสผู้ออกหลักทรัพย์ DW รูปแบบสัญญา วันหมดอายุ และลำดับการออก DW ตัวนั้น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นเองได้ทันทีจากการดูชื่อ DW แต่ละรุ่น ซึ่งมีวิธีการดูดังนี้

 

ตัวอย่างชื่อ DW : “UUUU II C YYMM A”

ลำดับที่ 1 : ชื่อย่อหลักทรัพย์ที่อ้างอิง (ตัวอย่าง คือ “UUUU”)

ลำดับที่ 2 : รหัส 2 หลักของผู้ออกหลักทรัพย์ DW (ตัวอย่าง คือ “II”)

ลำดับที่ 3 : สิทธิการซื้อขาย โดย Call DW จะใช้เป็นตัว C และ Put DW จะใช้เป็นตัว P (ตัวอย่าง คือ “C”)

ลำดับที่ 4 : ปีที่หมดอายุในรูปแบบ ค.ศ. (ตัวอย่าง คือ “YY”)

ลำดับที่ 5 : เดือนที่หมดอายุ (ตัวอย่าง คือ “MM”)

ลำดับที่ 6 : ลำดับการออก DW ก่อนและหลัง ซึ่งไล่ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z (ตัวอย่าง คือ “A” ซึ่งหมายถึงรุ่นที่ 1 ของ DW ซีรีส์นี้)

dw-gain-profit-3

การเลือก DW

📌 เลือกหลักทรัพย์อ้างอิงที่สนใจ เนื่องจาก DW นั้น ถือเป็นหลักทรัพย์ที่ต้องเคลื่อนไหวตามราคาสินค้าอ้างอิงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือแม้แต่ดัชนีต่าง ๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรต้องเลือก DW ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์ที่ตนเองให้ความสนใจในช่วงนั้น ๆ หรือมีความเข้าใจเป็นอย่างดีก่อน

📌 เลือกเทรนด์ให้ชัดก่อนตัดสินใจ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุน ผู้ลงทุนจำเป็นต้องวิเคราะห์เทรนด์ของตลาดและหลักทรัพย์อ้างอิงที่ตัวเองเลือกอย่างละเอียดก่อน เพื่อดูว่าในช่วงเวลาที่กำลังจะลงทุนใน DW ตอนนั้นเป็นเทรนด์ขาขึ้น หรือขาลง ซึ่งถ้าหากว่าเป็นขาขึ้น ก็สามารถเลือก Call DW ได้ แต่ถ้าหากเป็นขาลง ก็สามารถเลือก Put DW ได้ เป็นต้น

📌 เลือก DW บนความเสี่ยงที่รับได้ สำหรับการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่รับได้ของตัวเองนั้น ผู้ลงทุน จำเป็นต้องเข้าใจถึง 2 วิธีการ ที่สามารถใช้เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจ ซึ่งประกอบไปด้วย

1) การเลือกตามความแรงของการเคลื่อนไหวราคา DW ซึ่งดูได้จาก

- อัตราทด (Gearing Effect): ผู้ลงทุนควรต้องดูว่า เมื่อราคาหลักทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลงไป 1% ราคา DW ของหลักทรัพย์ที่อ้างอิงตัวนั้น จะเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะตัวเลขดังกล่าว จะมีผลอย่างมากต่อการได้รับผลตอบแทนหรือการขาดทุนที่มากขึ้นได้

ตัวอย่างเช่น ถ้า DW ตัวหนึ่ง มี Effective Gearing อยู่ที่ 5 เท่า เมื่อราคาหลักทรัพย์ที่อ้างอิงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% ราคา DW จะปรับเพิ่มขึ้น 5% แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าหลักทรัพย์ที่อ้างอิงมีการปรับตัวลดลง 1% ราคา DW ก็จะปรับลง 5% เช่นกัน

- ความอ่อนไหว (Sensitivity): ตามหลักการแล้ว Sensitivity จะเป็นค่าที่บอกว่าราคา DW จะเปลี่ยนแปลงไปกี่ช่อง (Tick) เมื่อราคาหลักทรัพย์อ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลงไป 1 ช่อง เช่น ถ้าหากว่า DW ตัวหนึ่ง มีค่า Sensitivity อยู่ที่ 3 นั่นหมายความว่าถ้าราคาหลักทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 ช่อง ราคาของ DW จะมีการเปลี่ยนแปลง 3 ช่องนั่นเอง

 

ทั้ง 2 ส่วนนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ความแรงในการเคลื่อนไหวของราคา DW ซึ่งผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือก DW ที่มี Effective Gearing และ Sensitivity สูง แต่ควรเลือกในระดับที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะสมกับตัวผู้ลงทุนเอง

2) การเลือกตามความถูกหรือแพงของราคา DW ซึ่งดูได้จาก

- ค่าเสื่อมทางเวลา (Time Decay): โดยผู้ลงทุนควรหลีกเลี่ยงการถือ DW ที่มี Time Decay สูง เป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ราคาของ DW ตัวนั้น ๆ เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิงได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว DW ที่มักจะมีค่า Time Decay สูง ส่วนใหญ่จะเป็น DW ที่มีอายุคงเหลือไม่มากนัก เช่น น้อยกว่า 2 เดือน เป็นต้น

- ความผันผวนแฝง (Implied Volatility : IV): คือค่าความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อ้างอิง ที่แต่ละผู้ออก DW ได้ทำการคาดการณ์ไว้ ซึ่งถ้าหากว่า Implied Volatility ยิ่งมีจำนวนที่สูงมากเท่าไร ก็ถือว่า DW ตัวนั้นยิ่งมีราคาแพงตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ลงทุนจึงควรที่จะเปรียบเทียบ Implied Volatility ของ DW ตัวที่สนใจก่อน ด้วยการเลือก DW ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเดียวกัน รวมถึงอายุคงเหลือและ Effective Gearing มาเปรียบเทียบกัน เพื่อหาตัวที่มีราคาถูกหรือคุ้มค่าต่อการลงทุน

- การแปลงสภาพเป็นสินค้าอ้างอิง (All-in Premium): ค่าดังกล่าวจะเป็นการบอกถึงราคาของ DW ที่ทำการแปลงสภาพเป็นสินค้าอ้างอิงไว้แล้ว ว่าจะมีความถูกหรือแพงกว่าสินค้าอ้างอิงมากเท่าใด เช่น ถ้า All-in Premium = 5% แปลว่า หลักทรัพย์อ้างอิงต้องปรับตัวขึ้น 5% ถึงจะทำให้ DW ถึงจุดคุ้มทุนในการแปลงสภาพ 

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว ค่าดังกล่าวจะใช้ในการเปรียบเทียบความถูกหรือแพงของ DW ตัวนั้น ๆ เพียงเท่านั้น และนั่นจึงทำให้ All-in Premium จะสอดคล้องกับค่า Implied Volatility ที่ถ้าหากว่า DW ตัวไหนมีค่าเหล่านี้ที่น้อยกว่าตัวอื่น ๆ ก็มีโอกาสสำหรับการสร้างกำไรที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

dw-gain-profit-4

ทั้งนี้หากผู้ลงทุนต้องการศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถรับชม คลิป Workshop เกี่ยวกับ “Derivative Warrants” หรือ DW ที่จัดขึ้นภายในงานมหกรรมการลงทุนที่ครบที่สุดแห่งปี อย่าง “SET in the City 2025”  ได้ทั้ง 2 Sessions ดังนี้

1. Workshop หัวข้อ : ยิ่งผันผวน DW ยิ่งสร้างโอกาสทำกำไร
โดย คุณทศพล เกิดผล Chief Executive Officer บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด
Link : https://youtu.be/ta2Wk6jNeTA?si=hr_S2HUiIxOY4XGp 

2. Workshop หัวข้อ : เริ่มต้นเทรด DW แบบมือใหม่ Turn Pro
โดย คุณนพดล ดวงทิพย์เนตร Head of Thailand Derivative Products Commodities and Global Markets บริษัทหลักทรัพย์ แมคควอรี (ประเทศไทย) จำกัด
Link : https://www.youtube.com/watch?v=4JKvv7WU-VEรับชม Workshop อื่น ๆ ย้อนหลังจากงาน SET in the City 2025 เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ https://s.setth.org/gr5

 

คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน