หากพูดถึงการลงทุนในกองทุนรวม นักลงทุนอาจคุ้นเคยกับการลงทุนด้วยวิธีถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA โดยจะทำการลงทุนอย่างต่อเนื่องในแต่ละงวด ด้วยเงินลงทุนจำนวนเท่า ๆ กัน แต่หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและอาจส่งผลต่อพอร์ตลงทุน ทำให้นักลงทุนมีโอกาสปรับพอร์ตเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์
การลงทุนในกองทุนรวมก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนพยายามมองหาทางเลือกเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง จึงอาจทำให้มีการจับจังหวะเวลาในการลงทุน (Market Timing) ว่าควรเลือกลงทุนกองทุนรวมในช่วงเวลาใด หรือเมื่อไหร่จึงจะเหมาะสมที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดันจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า ถึงเวลาที่ควรลงทุนในกองทุนรวมด้วยการจับจังหวะหรือไม่ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้วิธีจับจังหวะควรทำความเข้าใจถึงข้อควรรู้เบื้องต้น ดังนี้
เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham) บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เคยกล่าวไว้ว่า “ศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุนมักจะเป็นตัวเอง และบางครั้งความผิดพลาดที่เห็นได้บ่อย คือ การลงทุนด้วยอารมณ์ เช่น ความกลัว ความโลภ และความวิตกกังวล” ดังนั้น นักลงทุนควรควบคุมตัวเองด้วยการลงทุนจากเหตุและผล เพื่อทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- กองทุนรวมหุ้นคุณค่า vs. กองทุนรวมหุ้นเติบโต
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตลงทุน คือ การทำความเข้าใจวัฏจักรของตลาดและการลงทุน เพราะเมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้วางกลยุทธ์ลงทุนได้อย่างถูกต้องว่าช่วงไหนควรลงทุนในกองทุนรวมหุ้นคุณค่า (Value Mutual Fund) หรือกองทุนรวมหุ้นเติบโต (Growth Mutual Fund)
กองทุนรวมหุ้นคุณค่า มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ตลาดเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยความโดดเด่นทั่วไป คือ เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง มีกระแสเงินสด และมีอัตราเงินปันผลอยู่ในระดับสูง
ขณะที่กองทุนรวมหุ้นเติบโต มักจะสร้างผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตในระดับที่ดี โดยผู้จัดการกองทุนจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นกว่าตลาดและเติบโตสูงกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
- กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่ vs. ขนาดกลางและขนาดเล็ก
หากต้องการจับจังหวะลงทุนกองทุนรวมในช่วงที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวและช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังปรับขึ้น ควรเน้นกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากมีโอกาสเติบโตได้อย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ก็ต้องระวังเรื่องต้นทุน เพราะธุรกิจอาจมีการกู้ยืมเงินระดับสูงเพื่อนำมาดำเนินธุรกิจ จะทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
สำหรับกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ จะมีอัตราการเติบโตที่ไม่โดดเด่น ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่จะมีความปลอดภัย มีสถานะทางการเงินมั่นคง และสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา
- เม็ดเงินลงทุนไหลเข้า vs. ไหลออก
เม็ดเงินลงทุน (Fund Flow) ไหลเข้าหรือไหลออกจากกองทุนรวม ถือเป็นตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดการลงทุนว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารเงินทุน จึงควรดูว่าผู้จัดการกองทุนจะนำเม็ดเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด หรือจะขายสินทรัพย์ประเภทไหน อีกทั้ง สามารถดูได้ว่า Fund Flow ไหลไปในตลาดการลงทุนที่ใดในโลก เช่น ตลาดเกิดใหม่หรือตลาดที่พัฒนาแล้ว
โดยตัวเลข Fund Flows ของกองทุนรวม จะบอกได้ว่าแนวโน้มตลาดการลงทุนไหนกำลังสดใส และให้ผลตอบแทนดี ผู้จัดการกองทุนก็จะโยกเงินเข้าไปลงทุน ตรงกันข้ามหากตลาดการลงทุนไหนกำลังมีความเสี่ยง ผู้จัดการกองทุนก็จะไม่เข้าไปลงทุนหรือโยกเงินออก ขณะเดียวกันก็สามารถบอกได้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมกำลังเป็นขาขึ้นหรือมีแนวโน้มชะลอตัวได้อีกด้วย
- กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในช่วงตลาดซบเซา
กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในช่วงภาวะตกต่ำหรือตลาดซบเซา (Bear Market Mutual Fund) เป็นกองทุนรวมที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในช่วงตลาดซบเซา โดยกลยุทธ์การลงทุนมีหลายวิธี เช่น ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ด้วยการซื้อ Put Options ในดัชนี พร้อมกับขาย Short Futures ในดัชนีเดียวกัน
ขณะที่บางกองทุนรวมอาจขายหุ้นหรือสินทรัพย์บางประเภทจากการประเมินว่าราคาหรือมูลค่าจะปรับลดลง พร้อมกับลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าราคาหรือมูลค่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดซบเซา และอีกกลยุทธ์หนึ่ง คือ การเลือกลงทุนหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (Alpha Investing) ด้วยการมุ่งเน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม เช่น หุ้นที่มีค่า P/E Ratio ต่ำกว่าระดับ P/E Ratio ของตลาดโดยรวม หุ้นที่มีค่า P/BV Ratio ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือประเมินแล้วว่าราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
ดังนั้น กองทุนรวมประเภทนี้จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการปรับลดลงของตลาด และเหมาะกับการลงทุนระยะสั้น
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน