หากย้อนดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ถือว่าหนักหนาสาหัสพอควรกับการลงทุนทั่วโลก เช่น ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ น้ำมันดิบที่ระดับผันผวนตาม OPEC+ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ S&P500 กลับมาเป็นบวกได้แล้วหลังวันปลดแอกอเมริกา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา 10 ปี ปรับตัวทดสอบระดับ 4.50% ท่ามกลางความเสี่ยงหนี้ท่วม หรือดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,200 จุด จากแนวรับกลายเป็นแนวต้าน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจหดตัว
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนทั่วโลก นักลงทุนได้เห็นปรากฏการณ์สำคัญหลายอย่าง เช่น ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ราคาน้ำมันดิบที่ผันผวนตามการปรับนโยบายของกลุ่ม OPEC+ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ดัชนี S&P500 ที่กลับมาเป็นบวกได้อีกครั้งหลังวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 4.50% ท่ามกลางความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และดัชนีหุ้นไทยที่หลุดระดับ 1,200 จุด จากที่เคยเป็นแนวรับกลับกลายเป็นแนวต้าน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เราควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร เพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ขอแนะนำ 4 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมแนวทางการจัดพอร์ตที่เหมาะสมดังนี้
การที่สหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีการค้ามากขึ้น ทำให้ประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีพยายามหาทางหลีกเลี่ยง เห็นได้จากการส่งออกและนำเข้าของโลกที่เร่งตัวขึ้นอย่างมากในเดือนมีนาคม - เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเรียกว่าการกลับมาเติมสต็อกสินค้า (Trade restocking) เมื่อภาษีถูกยกระดับขึ้น การปรับเปลี่ยนจุดหมายของการค้า (Trade rerouting) ไปยังตลาดอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาจะตามมา รวมถึงการค้าขายสินค้ากันเองระหว่างประเทศในแถบเอเชียก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูงเช่นกัน
แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น นโยบายภาษีของทรัมป์ และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง การลดดอกเบี้ยอาจมาล่าช้าและน้อยกว่าที่คาดไว้ ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 4.5 – 5.0% การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐอเมริกา จึงยังให้ผลตอบแทนที่คงที่ในระดับสูง (Locked-in) อย่างไรก็ตาม การถือพันธบัตรสหรัฐอเมริการอบนี้อาจจะไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากย้อนไป 5 ปีก่อน การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุมากกว่า 20 ปี อาจทำให้ขาดทุนเกือบ 50% จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น นักลงทุนควรเน้นลงทุนในพันธบัตรสหรัฐอเมริการะยะสั้น (Money Market) หรืออายุไม่เกิน 1 ปี
ราคาทองคำได้ทำจุดสูงสุดใหม่ ท่ามกลางความปั่นป่วนของโลกในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน หรือแนวโน้มของสงครามที่อาจนำไปสู่เงินเฟ้อในระยะถัดไป นอกจากนี้ การกักตุนทองคำเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง สถานการณ์ทั้งหมดบ่งชี้ว่า ยุคนี้การมีทองคำติดพอร์ตไม่ใช่เพียงเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจไม่ควรซื้อที่ระดับราคา 3,300 – 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ควรรอให้ราคาทองคำย่อตัวลง หรือทยอยซื้อเมื่อราคาทองคำปรับฐานลง
แนวคิดนี้มาจากสตีเฟน มิแรน นักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งตั้งชื่อตามบ้านพักตากอากาศของประธานาธิบดีทรัมป์ มิแรนเสนอว่า เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา ค่าเงินดอลลาร์ “ควรอ่อนค่าลง” ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการให้ดอลลาร์ยังคงเป็น “สกุลเงินหลักของโลก” พูดง่าย ๆ คือ ต้องการให้ดอลลาร์ “อ่อนค่าในระยะสั้น” แต่ “คงมีเสถียรภาพในระยะยาว” เป้าหมาย คือ การลดดุลการค้าและลดหนี้สาธารณะ โดยทำได้ 2 วิธี คือ
จากธีมการลงทุนข้างต้น สามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้ ดังนี้
แบ่งเป็นหุ้นสหรัฐอเมริกา 5% หุ้นตลาดที่พัฒนาแล้ว 10% และตลาดเกิดใหม่ 10% โดยอาศัยประโยชน์จากธีมการปรับเส้นทางการค้า (Trade rerouting) และธีมแนวคิดมา-อา-ลาโก (The Mar-A-Lago is Now) ซึ่งอาจส่งผลให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
แบ่งเป็นตราสารหนี้สหรัฐอเมริการะยะสั้น 20% และตราสารหนี้สหรัฐอเมริการะยะยาว 5% ซึ่งเป็นกลยุทธ์แบบ Barbell Strategy ที่ถือทั้งพันธบัตรระยะสั้นเพื่อล็อกผลตอบแทน และพันธบัตรระยะยาวเพื่อเก็งกำไรจากการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ควรมีตราสารหนี้ไทยอีก 10%
แบ่งเป็นกอง REITs 8.3% ทองคำ 8.3% และคริปโตเคอร์เรนซี 8.3% สำหรับทองคำและคริปโตเคอร์เรนซี ควรใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือทยอยลงทุน เนื่องจากราคาได้ปรับขึ้นไปสูงแล้วจากธีมทองคำรุ่งเรือง (The “Golden” Era)
สำหรับนักลงทุนที่มีความเข้าใจในการลงทุนที่ซับซ้อน การซื้อ Put Options หรือสัญญาซื้อขาย VIX Index ท่ามกลางความผันผวน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ควรเก็บเงินสดไว้อย่างน้อย 10% จากความไม่แน่นอนของโลกในปัจจุบัน เพราะเงินสดคือสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ (Cash is always King)
ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สภาพตลาดการลงทุนยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจใน 4 ธีมการลงทุนหลัก ได้แก่ การปรับเส้นทางการค้าโลก, สถานการณ์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ, ยุคทองคำรุ่งเรือง และแนวคิด Mar-A-Lago Accord จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนและปรับกลยุทธ์พอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
การกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารทางเลือก และการรักษาสัดส่วนเงินสดที่เพียงพอ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะที่โลกยังคงเผชิญกับ “ไฟสงคราม” และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
เรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!