หากนักลงทุนเป็นแฟนพันธุ์แท้การลงทุนตลาด คงสังเกตเห็นว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หุ้นสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นดาวเด่น โดยเฉพาะหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ล้วนทำให้นักลงทุนทั่วโลกหลงใหล แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ทำให้นักลงทุนเริ่มจับตาไปยังตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ พร้อมตั้งคำถามว่า “หุ้นต่างประเทศเริ่มฟื้นคืนชีพ” และไม่ใช่แค่การเด้งกลับชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่อาจสร้างโอกาสทำกำไรในระยะยาว
ลองนึกภาพ เยอรมนีที่เคยขึ้นชื่อเรื่องการประหยัด ล่าสุดมีมาตรการเพิ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปบริษัทให้ทำกำไรได้มากขึ้น ที่สำคัญจีนปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสงครามการค้า ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐก็เริ่มอ่อนค่าลง ปัจจัยเหล่านี้ก็เพียงพอที่ทำให้หุ้นต่างประเทศดูน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน และสิ่งที่น่าสนใจ คือ หลาย ๆ ปัจจัยกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่นักลงทุนไม่ควรพลาดโอกาสนี้ไป
หากเข้าใจเยอรมนีคงจะนึกถึงภาพของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดทางการเงิน ตั้งแต่สมัยที่ Angela Merkel เป็นนายกรัฐมนตรี ที่คอยเตือนสมาชิกยุโรปให้ประหยัดจ่าย ไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัว แต่แล้วในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การรวมประเทศในปี 1990 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบธรรมดา แต่เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของโลก
Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลีและนักเศรษฐศาสตร์ เขียนรายงานเรื่องความสามารถในการแข่งขันของยุโรป
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า หากยุโรปยังคงนโยบายเดิม ๆ อาจถูกทิ้งห่างโดยสหรัฐอเมริกาและจีน รายงานนี้ได้กระตุ้นให้ผู้นำยุโรปตื่นตัวประกอบกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ยุโรปรู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น
Gerald Du Manoir ผู้จัดการกองทุนหุ้น Capital Group กล่าวว่า “แผนกระตุ้นจากเยอรมนีจะเป็นประโยชน์ต่อยุโรปทั้งทวีป และอาจเห็นวงจรอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งขึ้นในสามปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข่าวดี แต่ยังมีอุปสรรคบางอย่าง เช่น ระยะเวลาในการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจต้องรอจนถึงปี 2026 จึงจะเห็นการเติบโตที่มีนัยสำคัญ ความไม่แน่นอนจากภาษีศุลกากรเนื่องจากสถานการณ์การค้าโลกที่ยังผันผวนทำให้ได้รับผลกระทบได้ตลอดเวลา หรือการดำเนินงานของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Friedrich Merz ที่เผชิญความยากลำบากในการหาเสียงสนับสนุน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการสร้างฉันทามติทั้งในเยอรมนีและกับประเทศยุโรปอื่น ๆ
ในช่วงทศวรรษ 1990 - 2000 ญี่ปุ่นได้เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ บริษัทหลายแห่งทำกำไรได้น้อย (บางครั้งก็ขาดทุน) นักลงทุนจึงหันไปสนใจตลาดอื่นแทน แต่วันนี้ญี่ปุ่นกำลังกลายเป็นมหาอำนาจการค้าเสรี เพราะมีข้อได้เปรียบที่น่าสนใจ
อีกทั้ง ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับการปฏิรูปกำกับดูแลกิจการ เช่น บริษัทต้องเน้นเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ต้องใช้เงินสดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ ผู้บริหารต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นมากขึ้น การตัดสินใจต้องเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด เมื่อ ดัชนี MSCI Japan ได้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งมากตั้งแต่ปี 2023 เพราะนักลงทุนเริ่มเห็นว่าบริษัทญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
สำหรับเกาหลีใต้ กำลังปรับใช้กลยุทธ์แบบญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมาย ดังนี้
สำหรับนักลงทุน ทั้งสองประเทศกำลังเปลี่ยนจากการเป็น “ตลาดที่มีศักยภาพ” เป็น “ตลาดที่ให้ผลตอบแทนจริง” ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในระยะยาว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขในงบการเงิน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรและวิธีคิดเรื่องการทำธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในทั้งสองประเทศ
ดอลลาร์สหรัฐเป็นเหมือน “ราชาสกุลเงิน” ของโลกมานานหลายทศวรรษและนักลงทุนมักจะเก็บดอลลาร์ไว้เป็น “ที่หลบภัย” เมื่อตลาดโลกมีความผันผวน แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ดอลลาร์กำลังอ่อนค่าลง จึงมีคำถามว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นักลงทุนเริ่มปันใจไปลงทุนประเทศอื่น
หลังจากที่โดนสหรัฐอเมริกาโจมตีด้วยภาษีศุลกากร จีนไม่ได้รอความเสียหาย แต่กลับใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างอย่างมีกลยุทธ์ โดยมาตรการมี 3 เป้าหมายหลัก
1.ลดการพึ่งพาตลาดส่งออก เปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่พึ่งการส่งออกมาเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการบริโภคในประเทศ
2.เสริมความแข็งแกร่งของตลาดภายใน ใช้ประโยชน์จากตลาดผู้บริโภค 1.4 พันล้านคนที่มีเงินออมพร้อมลงทุนมากมาย
3.พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ลงทุนในด้าน AI, รถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน
สิ่งที่น่าสนใจคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนไม่ได้มีประโยชน์แค่กับจีนเอง แต่ยังส่งผลดีต่อยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน นั่นคือ กระตุ้นเศรษฐกิจภายในและมีการนำเข้าสินค้าจากยุโรปมากขึ้น บริษัทยุโรปที่มีแบรนด์หรูหรา เทคโนโลยีขั้นสูง จะได้ประโยชน์โดยตรง และการลงทุนของจีนในโครงสร้างพื้นฐานจะเปิดโอกาสให้บริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมยุโรป “แม้จะมีความไม่แน่นอนจากภาษีศุลกากร แต่จีนมีกลไกการรับมือที่แข็งแกร่ง และยุโรปจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวนี้” Gerald Du Manoir กล่าว
สำหรับบริษัทจีนที่มุ่งเน้นตลาดในประเทศจะได้รับประโยชน์ที่เห็นชัดเจน คือ เงินออมผู้บริโภคจำนวนมหาศาล โดยหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญของจีน คือ ประชาชนมีเงินออมสะสมจำนวนมาก ในช่วงโควิด-19 ผู้บริโภคจีนประหยัดเงินไว้และวันนี้พร้อมที่จะใช้จ่ายแล้ว โดยกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ เช่น ค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ (Alibaba, JD.com และบริษัทค้าปลีกท้องถิ่น) สินค้าอุปโภคบริโภค (ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง) บริการการเงิน (ธนาคารที่ให้สินเชื่อผู้บริโภค บริษัทประกัน) ความบันเทิงและการท่องเที่ยว (โรงภาพยนตร์ สวนสนุก โรงแรม) การศึกษาและสุขภาพ (โรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน)
อีกทั้ง รัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนท่าทีจากการควบคุมเข้มงวดมาเป็นการสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่นกรณีประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและผู้นำพรรคระดับสูงได้จัดการประชุมกับผู้ประกอบการ โดยการประชุมได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลต้องการให้ภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น ความสำเร็จของ DeepSeek AI ที่สร้างกระแสไปทั่วโลก ทำให้ผู้นำจีนเห็นศักยภาพของการสนับสนุนนวัตกรรม ส่งผลให้เทคโนโลยี AI และซอฟต์แวร์ ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นความหวังของจีนในการครองโลก หรือเทคโนโลยีสีเขียว (เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม แบตเตอรี่) ได้รับการสนับสนุนเต็มที่
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหุ้นนอกสหรัฐอเมริกา “มูลค่าหุ้นถูก” มีเหตุผลสำคัญ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปทำให้หุ้นต่างประเทศถูกลงกว่าในอดีต อีกทั้ง ตลาดนอกสหรัฐอเมริกามีข้อได้เปรียบ คือ ความหลากหลายของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสาขาที่กำลังได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อุตสาหกรรมหนัก พลังงาน วัสดุ เคมีภัณฑ์ การเงิน
1.หุ้นยุโรป ธนาคาร, ประกัน, สาธารณูปโภค
2.หุ้นญี่ปุ่น บริษัทที่กำลังปฏิรูปกำกับดูแล
3.หุ้นเกาหลี บริษัทที่มี ROE และ Book Value เริ่มน่าสนใจ
4.หุ้นจีน บริษัทที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ
1.เทคโนโลยีเอเชีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ (Semiconductor)
2.พลังงานหมุนเวียน ยุโรป จีน (Solar, Wind)
3.รถยนต์ไฟฟ้า จีน ยุโรป
4.การเงินดิจิทัล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.กระจายความเสี่ยงในหลายภูมิภาค
2.ลงทุนอย่างมีวินัยต่อเนื่องตามระยะเวลา (DCA)
3.เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
4.ติดตามปัจจัยขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด
1.การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องใช้เวลา ไม่ได้เห็นผลในทันที
2.ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การเมือง กฎระเบียบ
3.ต้องศึกษาแต่ละตลาดแต่ละประเทศให้ลึก
หลังจากที่หุ้นสหรัฐอเมริกาครองโลกมานาน ปัจจุบันตลาดหุ้นนอกสหรัฐอเมริกา เช่น เอเชีย ยุโรป กำลังได้รับการจับตามองมากขึ้น ที่สำคัญ มูลค่าหุ้นต่างชาติยังถูกกว่าสหรัฐอเมริกา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดีต้องมาพร้อมกับการกระจายความเสี่ยง การศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และความอดทนในการรอผลตอบแทนระยะยาว
เรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!