การลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG (Environmental, Social, Governance) หรือ การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) กำลังเป็นมากกว่าแค่กระแส แต่เป็นรากฐานสำคัญของการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต ในปี 2568 การมองข้ามกลยุทธ์นี้อาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ด้วยเหตุผล 9 ประการ ที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมการลงทุนอย่างยั่งยืนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ความสนใจในการลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้ลดน้อยลงไป แต่กลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลจาก Morgan Stanley พบว่านักลงทุนทั่วโลกเกือบ 90% ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ไม่ใช่แค่เรื่องผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพพลังงาน ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนตระหนักถึงบทบาทของตัวเองในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสจากการลงทุนในธุรกิจที่รับผิดชอบต่อโลก
บริษัทที่มีแนวปฏิบัติด้าน ESG ที่ดี ไม่เพียงแต่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความภักดีจากลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ มีผลสำรวจที่น่าสนใจว่า 88% ของผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทที่สนับสนุนประเด็นทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ 76% พร้อมที่จะหยุดซื้อจากบริษัทที่ละเลยประเด็นเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้มองแค่คุณภาพสินค้าหรือราคา แต่ยังมองหาแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมของตัวเอง ดังนั้น การให้ความสำคัญกับ ESG จึงเป็นการลงทุนที่ช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระยะยาว
ในปัจจุบัน ธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนทิศทางมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยพบว่า รายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้มาจากธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ซึ่งครอบคลุมประเด็นตั้งแต่พลังงานสะอาดไปจนถึง การลดความเหลื่อมล้ำ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริม แต่ได้กลายเป็น ส่วนสำคัญของกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญขององค์กร ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสเติบโตและสร้างมูลค่าได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
บริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักจะได้รับประโยชน์จากการมีต้นทุนเงินทุนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีคะแนน ESG ต่ำกว่า เพราะนักลงทุนกว่า 50% มองว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว เหตุผลก็คือ บริษัทที่บริหารจัดการด้าน ESG ได้ดีมักจะมีความเสี่ยงด้านกฎหมาย การดำเนินงาน และชื่อเสียงที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ง่ายกว่า ทำให้สามารถระดมทุนได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งส่งผลดีต่อผลกำไรและศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต
แรงผลักดันจากกฎระเบียบและนโยบายใหม่ ๆ ทั่วโลกกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมให้การลงทุน ESG มีความมั่นคงยิ่งขึ้น เช่น Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นกฎหมายที่กำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่ทั้งหลายเผยแพร่รายงานการดำเนินงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ช่วยให้นักลงทุน ผู้บริโภค ผู้วางเงื่อนไข และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ได้ประเมินผลประกอบการที่ไม่เกี่ยวกับการเงินพร้อมกับส่งเสริมแนวทางธุรกิจที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมาตรฐาน ISSB (International Sustainability Standards Board) กำลังถูกนำมาใช้บังคับ ซึ่งทำให้บริษัทและกองทุนรวมต่าง ๆ ต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบมากขึ้น กฎหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล ESG แต่ยังกระตุ้นให้บริษัทเร่งปรับปรุงแนวทางปฏิบัติเพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนที่ต้องการข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการตัดสินใจ
ตลาดตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนกำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ว่าการออกตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) ตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social Bonds) และตราสารหนี้ยั่งยืน (Sustainability Bonds) จะมียอดรวมเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 การเติบโตนี้เป็นการเปิดประตูสู่ โอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ที่หลากหลายสำหรับนักลงทุนรายย่อย นอกจากนี้ ตราสารหนี้เหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก ซึ่งเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนและสร้างผลกระทบเชิงบวกไปพร้อมกัน
การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจและช่วยประหยัดต้นทุนให้กับธุรกิจได้ เช่น การลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน ไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล แต่ยังให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงและช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร การลดของเสีย และการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ รวมทั้งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและการสร้างแหล่งที่มาของรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อผลประกอบการ
การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้เป็นแค่การแสวงหาผลกำไร แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสำคัญของโลกในระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนสอดคล้องกับแนวโน้มและความท้าทายของโลกในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนในบริษัทที่มีแนวทาง ESG ที่ดี ยังช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ซึ่งจะส่งผลให้พอร์ตการลงทุนมีความมั่นคงในระยะยาว
การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้เป็นแค่การแสวงหาผลกำไร แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสำคัญของโลกในระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนสอดคล้องกับแนวโน้มและความท้าทายของโลกในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนในบริษัทที่มีแนวทาง ESG ที่ดี ยังช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ซึ่งจะส่งผลให้พอร์ตการลงทุนมีความมั่นคงในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาแล้วผ่านไป แต่เป็นแนวทางการลงทุนหลักที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องการนำปัจจัย ESG มาพิจารณาร่วมกับการวิเคราะห์พื้นฐานทางการเงินจะช่วยให้สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง ลดความเสี่ยง และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของโลก ซึ่งจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ยั่งยืน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้แนวคิด ความสำคัญ และแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เทรนด์การลงทุนระยะสั้น แต่กำลังเป็นการลงทุนกระแสหลักของโลก สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ESG วิถีใหม่ลงทุนอย่างยั่งยืน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่