เมื่อพูดถึงการลงทุนที่กำลังดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ทองคำ” ที่ราคาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสำหรับนักลงทุนไทย กองทุนรวมทองคำกลายเป็นช่องทางที่น่าสนใจยิ่งขึ้น เมื่อมีผลตอบแทนสูงถึง 20% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
การที่ทองคำกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากย้อนกลับไปดูเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 2,386 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ในปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นถึงกว่า 30% ในรอบปีเดียว ตัวเลขที่ทำให้นักลงทุนต้องหันมาจับตาดูอย่างจริงจัง
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ การคาดการณ์จากสถาบันต่าง ๆ ที่ยังคงมองราคาทองคำในแง่บวก โดยโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสำหรับสิ้นปี 2568 เป็น 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดไว้ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่
ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำเฉลี่ยเดือนละประมาณ 80 ตัน มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 70 ตันต่อเดือน สะท้อนถึงความต้องการกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ
ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความผันผวนของตลาดยังคงหนุนให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกถือครอง
ด้าน CoinCodex เว็บไซต์ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคสินทรัพย์ทางเลือก ประเมินว่าราคาทองคำในปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น โดยโมเดลคาดการณ์เชิงอัลกอริทึมชี้ว่า ราคาทองคำอาจขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 3,164.70 – 4,807.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และราคาเฉลี่ยตลอดปีคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,062.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงอาจมีข้อจำกัด ทั้งเรื่องการเก็บรักษาที่ปลอดภัย การขนส่ง หรือแม้แต่ค่าประกันภัย ซึ่งปัญหาเหล่านี้กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กองทุนรวมทองคำได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำมีข้อดีที่ชัดเจน และสำคัญที่สุด คือ เรื่องของการกระจายความเสี่ยงทองคำมีลักษณะพิเศษตรงที่มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับตลาดหุ้น โดยเมื่อตลาดหุ้นปรับลดลง เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้น ซึ่งเหตุผลที่นักลงทุนเรียกทองคำว่า “สินทรัพย์ปลอดภัย”
นอกจากนี้ สภาพคล่องของกองทุนรวมทองคำยังสูงมาก สามารถซื้อขายได้ง่ายผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา หรือปัญหาด้านความปลอดภัย
การมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลก็เป็นอีกหนึ่งข้อดี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดทองคำอย่างใกล้ชิด และในช่วงที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงสงครามการค้า ทองคำมักจะเป็นที่หลบภัยของเงินลงทุนจากทั่วโลก
ที่มา : morningstarthailand.com (ข้อมูล ณ 28 พฤษภาคม 2568)
หมายเหตุ: ข้อมูลไม่รวมกองทุน SSF และ RMF และการจัดอันดับนี้เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาชี้นำการลงทุน
แม้ว่าผลตอบแทนจะดูน่าดึงดูด แต่การลงทุนในกองทุนรวมทองคำก็มีสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เรื่องการกระจายความเสี่ยง โดยผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ลงทุนในทองคำไม่เกิน 5 - 10% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด เพราะการใส่น้ำหนักมากเกินไปในสินทรัพย์ประเภทเดียวอาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้
แม้แนวโน้มระยะยาวจะดูสดใส แต่ราคาทองคำสามารถมีความผันผวนสูงในระยะสั้นได้ ดังนั้น ควรพิจารณาเป็นการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว
แต่ละกองทุนจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิที่นักลงทุนจะได้รับ
ราคาทองคำไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสงครามการค้า ล้วนเป็นตัวแปรที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด
กองทุนรวมทองคำในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาทองคำกำลังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนทุกประเภท ความเสี่ยงย่อมมีอยู่เสมอ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุน และหากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การตัดสินใจลงทุนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้แนวคิดและเทคนิคในการสร้างแผนลงทุนด้วยกองทุนรวม พร้อมใช้ตัวช่วยอย่าง Streaming Fund+ เพื่อสร้างแผนลงทุนที่เหมาะกับตนเองได้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดสร้างแผนลงทุนด้วยกองทุนรวม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่