ในภูมิทัศน์การลงทุนที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนไทยที่มองหาการกระจายความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตนอกเหนือจากตลาดในประเทศ กำลังค้นพบประตูสู่ตลาดทุนโลกผ่านเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพอย่าง ETF และ DR/DRx ผลิตภัณฑ์การลงทุนเหล่านี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดทั่วโลก แต่ยังนำเสนอความคล่องตัวและประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่นักลงทุนรอบคอบไม่ควรมองข้าม
กลไกสำคัญสู่การลงทุนระดับโลก : ETF และ DR ETF (Exchange-Traded Fund) - ยุทธวิธีการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงและมีประสิทธิภาพ ETF เป็นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นทั่วไป แต่มีโครงสร้างการลงทุนที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลาย โดยส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์แบบ Passive ที่อิงกับดัชนีตลาดหรือสินทรัพย์อ้างอิง ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ไทยมี ETF ทั้งสิ้น 11 กองทุน แบ่งเป็น
7 กองทุนที่อิงกับดัชนีตลาดหุ้นไทย 1 กองทุนที่อิงกับดัชนีตลาดหุ้นจีน 1 กองทุนที่อิงราคาทองคำ 2 กองทุนที่อิงตามดัชนีกระแส (Thematic Index) นอกจากนี้ Active ETF กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2019-2024 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่สูงถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ Passive ETF ที่ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสูงกว่าตลาดโดยรวม แม้จะมีค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น
DR (Depositary Receipt) - การเข้าถึงหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง DR เป็นตราสารแสดงสิทธิไม่มีวันหมดอายุที่อ้างอิงหลักทรัพย์ต่างประเทศ ทั้งหุ้น, ETF, REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้โดยตรงผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบัน (24 เม.ย. 2025) มี DR รวม 89 หลักทรัพย์ เปิดโอกาสให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปในหุ้นรายตัวและ ETF ในหลากหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์, อินเดีย และ เวียดนาม DR ที่อ้างอิงหุ้นรายตัวที่น่าสนใจ เช่น AAPL80X (ปัจจุบันเป็น DRx แต่จะถูกรวมเป็น DR ในวันที่ 6 พ.ค. 2025 นี้ ตามข้อกำหนดของตลาดฯ) ซึ่งอ้างอิงหุ้น AAPL หรือ Apple หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก เป็นต้น ส่วน DR ที่อ้างอิง ETF ที่น่าสนใจ เช่น CN01 ซึ่งอ้างอิง ETF ชื่อว่า ChinaAMC CSI300 ETF โดย ETF ดังกล่าวจะลงทุนในตะกร้าหุ้นที่อ้างอิงกับดัชนี CSI300 Index ของจีน ที่แม้จะมีประเด็นภาษีการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ แต่ก็ถือเป็นดัชนีที่ปรับตัวได้ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นของประเทศส่วนใหญ่ เป็นต้น
ทางเลือกการลงทุนต่างประเทศ : ETF vs กองทุนรวมทั่วไป vs หุ้นต่างประเทศ เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน ? นักลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อจำกัดของการลงทุนในตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง ETF หรือกองทุนรวมต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเลือกใช้เครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยรวม การเข้าใจความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์การลงทุนเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยได้เปรียบในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในตลาดโลกที่มีการแข่งขันสูง
มุมมองเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ลงทุน :
หุ้นต่างประเทศโดยตรง เหมาะกับ นักลงทุนที่ต้องการเลือกหุ้นรายตัวเอง (Active Investor) เน้นสร้าง Alpha หรือกำไรส่วนเกินตลาด มีเวลาและทักษะวิเคราะห์หุ้นเฉพาะตัว รับความเสี่ยงเฉพาะบริษัทหรืออุตสาหกรรมได้ ตัวอย่าง :
มองว่าหุ้น AI อย่าง NVIDIA (NVDA) ยังมีโอกาสเติบโตสูงกว่าตลาดโลก ควรเลือกซื้อ NVDA โดยตรง เพื่อหวัง Outperform ต้องติดตามข่าวสาร ผลประกอบการ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด รับความเสี่ยงจากความผันผวนเฉพาะตัวได้
ETF (Exchange-Traded Fund) เหมาะกับ นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ต้องการซื้อขายได้ทันทีเหมือนหุ้น แต่ได้ Exposure แบบ “ตะกร้า” หุ้น ต้องการค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป ต้องการเกาะธีมหรือดัชนี เช่น S&P500, AI, EV, Semiconductor ตัวอย่าง :
ต้องการลงทุนในธีม AI แต่ไม่อยากเสี่ยงแค่ตัวเดียว แนะนำซื้อ ETF Global X Robotics & AI (UBOT) หรือ INDXX GLOBAL ROBOTICS & ARTIFICIAL INTELLIGENCE THEMATIC INDEX (IBOTZ Index) ถ้าเชื่อว่าตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน Under-Valued และจะฟื้นตัว => ซื้อ ETF CSI 300 Index (China) ซื้อขายได้ตามเวลาตลาดหุ้นไทย
กองทุนรวมต่างประเทศ เหมาะกับ นักลงทุนที่ต้องการความสะดวกสูงสุด ไม่มีเวลาบริหารพอร์ตเอง ต้องการผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยเลือกหุ้นและบริหารความเสี่ยงให้ ยอมรับค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น เพื่อแลกกับการบริหารแบบ Active ตัวอย่าง :
ลงทุนในธีม Healthcare ทั่วโลกผ่านกองทุนเช่น กองทุน KFHHCARE-A หรือ JPMorgan Funds-Global Healthcare Fund ลงทุนในธีมเทคโนโลยี หรือ ESG ผ่านกองทุน Active เช่น KFGTECH-A เน้นหุ้นเปลี่ยนโลก หรือ KFCLIMA-A เน้นหุ้นเมกะเทรนด์ใน ESG เหมาะกับการทำ DCA (ลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน) เพราะมีการบริหารพอร์ตให้ปรับสมดุล
ETF คือ จุดสมดุลของการลงทุนระดับสากล จากตารางประกอบ จะเห็นว่า ETF นำเสนอจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรงและกองทุนรวมต่างประเทศ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการประสิทธิภาพในการจัดการเวลา โดยได้รับประโยชน์จากการลงทุนแบบ Passive ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ภายใต้การดูแลของผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ETF มอบสภาพคล่องที่เหนือกว่า พร้อมโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ ทำให้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ
เลือก ETF ที่ซื้อขายในไทยอย่างไร ให้เหมาะกับตัวเอง (แนวคิดแบบนักกลยุทธ์)
กำหนดเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อน เน้นเติบโต (Growth) = เลือก ETF ที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี, นวัตกรรม, ตลาดเกิดใหม่ เน้นรายได้ (Income) = เลือก ETF ปันผลสูง, REITs, Infrastructure เน้นป้องกันความเสี่ยง (Defense) = เลือก ETF หุ้นโลก, ตราสารหนี้คุณภาพดี, Gold เน้นรักษาเงินต้น (Capital Preservation) = เลือก ETF พันธบัตรรัฐบาล, เงินฝากสั้น ๆ เลือกตามธีมเศรษฐกิจโลกและเมกะเทรนด์ ถ้าเชื่อว่าธีม AI, EV, พลังงานสะอาดจะโต เลือก ETF ธีมใหม่ ๆ ถ้าเชื่อว่าตลาดเกิดใหม่จะฟื้น มอง ETF EM, Asia ex Japan ถ้าเน้นป้องกันเศรษฐกิจถดถอย เลือกกลุ่ม Defensive ETF Healthcare, Utilities พิจารณาสไตล์การบริหาร (Active vs Passive) Passive ETF = ติดตามดัชนีแบบตรง ๆ (ต้นทุนต่ำ เหมาะกับระยะยาว) Active ETF = มีผู้จัดการเลือกหุ้นให้เกินดัชนี (ต้นทุนสูงกว่า แต่หวังกำไรมากกว่า) ดูค่าธรรมเนียม (Expense Ratio) ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า 1% ต่อปี ถือว่าดี (ได้ผลตอบแทนสูงกว่าระยะยาว) ค่าใช้จ่ายเกิน 1% ต้องมั่นใจว่ากองนั้นสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีได้จริง เช็กสภาพคล่องและขนาดกองทุน (Liquidity & AUM) เลือก ETF ที่มีมูลค่ากองทุน (AUM) สูง และปริมาณซื้อขายสม่ำเสมอ เพื่อไม่ติดสภาพคล่อง มองหา ETF ที่มี Market Maker ดูแลสเปรดแคบ (Bid-Offer ไม่กว้าง) เปรียบเทียบผลการดำเนินงานย้อนหลัง เทียบ Total Return 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี อย่าดูแค่ตัวเลข ควรดู Consistency ว่ากองทุนรักษาผลตอบแทนได้สม่ำเสมอไหม ตรวจสอบความเสี่ยง (Volatility, Drawdown) ถามตัวเองได้ไหม : ยอมรับการแกว่งตัวได้ขนาดไหน ? ETF ธีมใหม่ ๆ ผันผวนสูง : เหมาะกับคนรับความเสี่ยงได้ ETF ตราสารหนี้หรือตลาด Developed Market : ผันผวนน้อยกว่า
กรภัทร ฝากแนวคิด “เลือก ETF เหมือนเลือกทีมฟุตบอล ต้องรู้เป้าหมายเกมตัวเอง รู้สไตล์การเล่น และเลือกนักเตะที่เข้ากับแผน ไม่ใช่เลือกตามคนอื่น !”
ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสของนักลงทุนไทยที่สามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย จากการพัฒนาการเชิงโครงสร้าง เพิ่มช่องทางลงทุนต่างประเทศที่ง่ายขึ้น อาทิ
หุ้นต่างประเทศจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (Depositary Receipt : DR) DR เช่น AAPL80, TSLA80, NVDA80 เริ่มเป็นที่รู้จักและเทรดง่ายผ่านบัญชีหุ้นไทย ไม่ต้องเปิดบัญชี Offshore หรือต่างประเทศ เทรดด้วยเงินบาท, ผ่านบัญชีหลักทรัพย์เดิม, ปลอดภาษีกำไรจากส่วนต่าง กองทุน ETF ต่างประเทศจดทะเบียนในไทย ตัวอย่าง : CHINA, UBOT, UHERO, FLD, 1DIV นักลงทุนได้ Exposure ต่อ Thematic Play เช่น AI, จีนฟื้นตัว โดยไม่ต้องแปลงสกุลเงิน กองทุนรวมแบบ Feeder Fund ที่มี Platform Online ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน เช่น KSS-iFund , KSAM, SCBAM, KAsset, BBLAM มีระบบ Subscription, Switching, DCA ง่ายกว่าเดิมมาก DR : ทางเลือกสู่ตลาดทุนโลกที่แตกต่างกัน นักลงทุนที่มองหาการเข้าถึงหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย DR ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ บทความด้านล่างจะนำนักลงทุนไปรู้จักกับ DR หรือ Depositary Receipt
DR (Depositary Receipt) นำเสนอความหลากหลายทางการลงทุนที่ครอบคลุมหลายตลาดและประเภทหลักทรัพย์ แต่มีความท้าทายด้านช่วงเวลาการซื้อขายที่ไม่ตรงกับตลาดหลักทรัพย์อ้างอิง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาที่สูงกว่าหลักทรัพย์อ้างอิง
รายละเอียดที่นักลงทุนควรรู้ก่อนการลงทุนใน DR
ข้อได้เปรียบทางภาษีที่เหนือกว่า การลงทุนผ่าน ETF และ DR ในตลาดหลักทรัพย์ไทยนำเสนอโครงสร้างภาษีที่เป็นประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ :
ยกเว้นภาษีกำไรส่วนต่าง (Capital Gain Tax) - นักลงทุนไม่ต้องชำระภาษีจากกำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคา ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้าสูงสุดถึง 35% เมื่อนำเงินเข้าประเทศไทยลดความซับซ้อนของภาษีระหว่างประเทศ - นักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการจัดการกับภาษีซ้อน โดยมีทางเลือกในการใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สถานการณ์ด้านภาษีสามารถสรุปได้ดังนี้ :
การซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง : ต้องเสียภาษี การซื้อกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศโดยตรง : ต้องเสียภาษี การซื้อกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่จัดตั้งโดย บลจ. ในไทย : ได้รับการยกเว้นภาษี การซื้อ DR : ได้รับการยกเว้นภาษี เครื่องมือการลงทุนระดับโลกสำหรับพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น ETF และ DR เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการขยายขอบเขตการลงทุนสู่ตลาดโลก ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวกในการเข้าถึง ค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ สภาพคล่องที่เพียงพอ และโครงสร้างภาษีที่เป็นประโยชน์
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่สำคัญ :
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ Systematic Risk หรือความเสี่ยงเชิงระบบของตลาด ซึ่งแม้แต่พอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างดีก็อาจได้รับผลกระทบในภาวะตลาดขาลง ตัวอย่างจัดพอร์ตการลงทุนหุ้นต่างประเทศสไตล์หลักทรัพย์กรุงศรี
เราเน้นจัดพอร์ตการลงทุนที่นักลงทุนมีตัวเลือกให้เข้าลงทุนได้จริง โดยเลือกตลาดหุ้นของประเทศที่มีทางเลือก (ETF, DR, กองทุนรวม) ในการลงทุนหลากหลาย มาประกอบในพอร์ตการลงทุนของเรา และคำนึงถึงความเสี่ยงในบางช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงอ่อนตัวจากภาวะความไม่แน่นอน โดยใช้หลักการง่าย ๆ หุ้น 60% และตราสารหนี้ + สินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ 40% สินทรัพย์ที่เราเลือกมา หลัก ๆ มีดังนี้
ตลาดหุ้น : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ, ตลาดหุ้นยุโรป, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น, ตลาดหุ้นจีน, ตลาดหุ้นอินเดีย, ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งตลาดหุ้นเหล่านี้ มีทั้ง DR (ETF) และกองทุนรวมหลากหลายให้เลือกเข้าลงทุน สามารถเลือกได้ทั้งแบบ Passive และ Active Fund
ตลาดตราสารหนี้ + สินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ : แบ่งประเภทเป็นตราสารหนี้ในไทย และตราสารหนี้นอกประเทศ (Global Bond) ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ได้แก่ กองทุนอสังหาฯ น้ำมันดิบ ทองคำ และเงินสด ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้มีกองทุนรวม หรือ ETF (Passive Fund) ให้เลือกลงทุนค่อนข้างมาก
จากการศึกษาเราทำพอร์ตจำลองการลงทุนดังกล่าวในสัดส่วนตามตารางที่ 1 ตั้งแต่ช่วงปี 2000-2025 พบว่าให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง (MSCI ACWI) และ ตารางที่ 2 การลงทุนแบบนี้พอร์ตสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นโลกอ่อนแอ
ตารางที่ 1 : สัดส่วนการจัดพอร์ตสไตล์หลักทรัพย์กรุงศรี
ตารางที่ 2 : ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของพอร์ตจำลอง เทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตดัชนีอ้างอิง
กราฟที่ 1 : ผลตอบแทนของพอร์ตจำลองตั้งแต่ช่วงปี 2000-2025 (มี.ค) เทียบกับพอร์ตของดัชนีอ้างอิง
ในท้ายที่สุด การผสมผสานระหว่างการเลือกเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสมและการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีเสถียรภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
ETF
DR
ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน