ตลาดอีคอมเมิร์ซ (e-commerce) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากชื่นชอบความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าออนไลน์ บริษัทหลายแห่งทั้งขนาดใหญ่และเล็กได้นำข้อดีของการผสมผสานระหว่างร้านค้ามีหน้าร้าน (Brick-and-Mortar) กับหน้าร้านเสริมบนอินเทอร์เน็ตมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่ในวงการ e-commerce บางราย เช่น Amazon (AMZN) และ Alibaba (BABA) ได้กลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดด้วยการดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว แม้ว่า Amazon และ Alibaba ต่างมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้เป็นบริษัท e-commerce แต่รูปแบบธุรกิจของทั้งสองแห่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดย Amazon เป็นผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่สำหรับสินค้าทั้งใหม่และมือสอง ในขณะที่ Alibaba ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
Amazon เป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินธุรกิจแบบผู้ค้าปลีกโดยตรง (B2C) ขายสินค้าเองและให้บริการกับลูกค้าปลายทาง รวมถึงเปิดแพลตฟอร์มให้ผู้ขายรายอื่นเข้ามาขายสินค้า (Marketplace) โดย Amazon จะดูแลเรื่องคลังสินค้า การขนส่ง และบริการหลังการขายเองทั้งหมด
ปัจจุบัน Amazon มีฐานลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 40% โดยมีบัญชีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 310 ล้านบัญชี ส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคทั่วไป จึงได้ชื่อว่าเป็น “ร้านค้าทุกอย่าง” มีสินค้าหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า หนังสือ อาหาร ไปจนถึงคอนเทนต์ดิจิทัล โดยมี Amazon Pay สำหรับการชำระเงินทั้งในและนอกแพลตฟอร์ม
ขณะที่ Amazon เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในฐานะยักษ์ใหญ่ด้านตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่วนตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนก็ต้องยกให้ Alibaba แม้ว่าบริษัทจะดำเนินงานผ่านการผสมผสานรูปแบบธุรกิจที่เฉพาะ แต่ธุรกิจหลักของ Alibaba มีลักษณะคล้ายกับ eBay โดย Alibaba เน้นเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ซึ่งไม่ถือครองสต๊อกสินค้าเอง แต่ให้บริการแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับการทำธุรกรรม โดยมีรายได้จากค่าคอมมิชชัน โฆษณา และบริการเสริม
Alibaba มีเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดชื่อ Taobao (เถาเป่า) เป็นเว็บไซต์สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในจีนและเอเชียแปซิฟิก โดยมีลักษณะคล้ายกับ Lazada หรือ Shopee ในไทย และยังมีเว็บไซต์ชื่อ Tmall ที่เน้นขายสินค้าคุณภาพสูงและแบรนด์เนมทั้งจากจีนและต่างประเทศ เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในจีน
นอกเหนือจากเว็บไซต์คอมเมิร์ซแล้ว Alibaba ยังได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งในระบบการเงินของจีน เพื่อแก้ไขความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับความปลอดภัยและความถูกต้องของธุรกรรมที่ทำออนไลน์ จึงได้สร้าง Alipay ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย ปกป้องผู้ซื้อในกรณีที่ผู้ขายไม่สามารถหรือปฏิเสธที่จะส่งมอบสินค้าที่ขาย
ปัจจุบัน Alibaba ครองตลาดอีคอมเมิร์ซกว่า 80% ในจีน มีผู้ซื้อที่ใช้งานมากกว่า 443 ล้านบัญชี โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในจีนและกลุ่มธุรกิจ เน้นเชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ เหมาะกับการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากหรือแบบขายส่ง และแพลตฟอร์มสำหรับผู้บริโภคอย่าง AliExpress ก็มีสินค้าให้เลือกมาก แต่ยังไม่หลากหลายเท่า Amazon
รายได้ของ Amazon เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563 – 2567) มีการเติบโตถึง 127% โดยรายได้ปี 2567 ทำได้ 638 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดและขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับกำไรสุทธิมีการเติบโตสูงถึง 411% ในช่วง 5 ปี (2563 – 2567) สะท้อนว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างผลกำไรสุทธิให้กับผู้ถือหุ้นได้ดีและรวดเร็ว แสดงถึงพัฒนาการที่ก้าวกระโดดในการแปลงรายได้ไปเป็นกำไรสุทธิ หลังจากหักค่าใช้จ่ายและภาษีทั้งหมดแล้ว เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยกำไรสุทธิปี 2567 ทำได้ 59.2 พันล้านดอลลาร์
สำหรับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโต 201% ในช่วง 5 ปี (2563 – 2567) สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างเงินสดจากการดำเนินธุรกิจหลักได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจและการเติบโตในระยะยาว เพราะเงินสดนี้สามารถนำไปใช้ในการลงทุน ขยายธุรกิจ หรือชำระหนี้ได้ โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปี 2567 อยู่ที่ 115.9 พันล้านดอลลาร์
ส่วนกระแสเงินสดอิสระ พบว่าในช่วง 5 ปี (2563 – 2567) เติบโต 51% แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระที่ดี หลังจากผ่านช่วงการลงทุนขนาดใหญ่หรือการลงทุนที่ผ่านมาเริ่มให้ผลตอบแทนเป็นเงินสดมากขึ้น โดยกระแสเงินสดอิสระปี 2567 อยู่ที่ 32.9 พันล้านดอลลาร์
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้อยู่ที่ระดับ 156 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และทำกําไรได้ 17.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าด้านอัตรากําไรจากการดําเนินงานอยู่ที่ 11.8% ปัจจัยสำคัญมากจากยอดขายโฆษณาออนไลน์ และรายได้จากอเมริกาเหนือเติบโตโดดเด่น
ประมาณการกำไรของ Amazon (AMZN) ในปี 2568 โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรต่อหุ้นตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6.11 - 6.31 ดอลลาร์สหรัฐ ด้านรายได้รวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 694.93 พันล้านดอลลาร์ หากเป็นไปตามนี้จะเติบโตประมาณ 9% เมื่อเทียบกับรายได้ปีที่ผ่านมา โดยแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานของ Amazon ในปีนี้ค่อนข้างระมัดระวังมากกว่าที่นักวิเคราะห์บางรายคาดไว้ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากร นโยบายการค้า และภาวะเศรษฐกิจโลก
ธุรกิจโฆษณาและ Cloud ของ Amazon ยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้ว่าบริการการประมวลผลบน Cloud (AWS) จะเติบโตต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อยในไตรมาสแรก
สำหรับ Alibaba พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563 – 2567) รายได้เติบโตถึง 150% เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและน่าประทับใจ สะท้อนให้เห็นว่ามีความสามารถในการขยายขนาดธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงความสำเร็จในการขยายฐานผู้ใช้ ขยายบริการ และเจาะตลาดใหม่ ๆ ทั้งในธุรกิจตัวเองอย่าง Taobao และ Tmall รวมถึงธุรกิจ Cloud Computing ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้ปี 2567 ทำได้ 941.2 พันล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโต 107% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าไม่ได้แค่เพิ่มยอดขายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดีในภาพรวม ทำให้ความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักเติบโตตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับปี 2567 ทำได้ 123.9 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากำไรสุทธิ พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาลดลง 9% สะท้อนว่าบริษัทเผชิญกับความท้าทายในการแปลงรายได้และกำไรจากการดำเนินงานมาเป็นกำไรสุทธิที่แท้จริงให้กับผู้ถือหุ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และการแข่งขันในตลาด Cloud ในจีนยังคงรุนแรง โดยกำไรสุทธิปี 2567 ทำได้ 79.7 พันล้านดอลลาร์
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ยังคงเติบโตเป็นบวก 21% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีปัญหาเรื่องกำไรสุทธิ แต่บริษัทยังคงมีความสามารถในการสร้างเงินสดจากการดำเนินธุรกิจหลักได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงอยู่และการลงทุนในอนาคต โดยปี 2567 อยู่ที่ระดับ 182.6 พันล้านดอลลาร์
ส่วนกระแสเงินสดอิสระที่เติบโต 40% ในช่วง 5 ปี แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความสามารถในการสร้างเงินสดส่วนเกินหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน ซึ่งเงินสดนี้สามารถนำไปใช้ในการชำระหนี้ ซื้อหุ้นคืนหรือจ่ายปันผลได้ โดยปี 2567 อยู่ที่ระดับ 149.7 พันล้านดอลลาร์
ผลประกอบการไตรมาสถัดไป Alibaba จะประกาศวันที่ 13 สิงหาคม 2568 โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น สำหรับไตรมาสสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2568 (ไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2569) จะอยู่ที่ประมาณ 2.44–2.49 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ในช่วง 35.21 – 35.69 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขประมาณการผลประกอบการ ที่ไม่หวือหวา สะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์จับตาการฟื้นตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Cloud และตลาดต่างประเทศ
นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้น Amazon และ Alibaba สามารถลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยด้วย DR (Depositary Receipt) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้นผ่านแพลตฟอร์ม Streaming โดยผู้ออก DR จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้นต่างประเทศแล้วเสนอขายหุ้นต่างประเทศนั้นให้กับผู้ลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาท หากสนใจหุ้น Amazon ก็ลงทุน DR AMZN01 และ DR AMZN80 และหากสนใจหุ้น Alibaba ก็ลงทุน DR BABA01 DR BABA13 และ DR BABA80
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
รู้จัก DR ให้มากขึ้น! ตั้งแต่การเรียนรู้พื้นฐานการลงทุนใน DR, กลไกการเคลื่อนไหวของราคา, วิธีการซื้อขาย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนใน DR ฟรีบน SET e-Learning กับหลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่”