ช่วงวิกฤติ COVID-19 ทุกคนคงพอจะเห็นแล้วว่าโรคระบาดนี้ ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงไปทั่วโลก ไม่เฉพาะเรื่องการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่การป้องกันโดยใช้มาตรการสร้างระยะห่างทางสังคมหรือ Social Distancing ยังส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่
สิ่งที่ตามมาก็คือ การว่างงานจำนวนมหาศาล เพราะหลายธุรกิจต้องหยุดหรือชะลอการดำเนินงาน โดยมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบอย่างมาก และคงเป็นไปอย่างนั้นจนกว่าจะมีการผลิตวัคซีนหรือยาออกมาปราบไวรัสตัวนี้ ซึ่งในวงการแพทย์ต่างก็คาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 2 ปีต่อจากนี้ แต่ระหว่างนี้ทุกประเทศก็คงบอบช้ำไปตามๆ กัน
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า... โลกหลังวิกฤติ COVID-19 จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะถ้าสังเกตดูระหว่างวิกฤติ COVID-19 นี้ มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไปและอาจไม่กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐาน (Fundamental Changes) ในชีวิตและสังคมของมนุษย์ จนหลายๆ คนเชื่อว่าเรากำลังก้าวไปสู่โลกใหม่ (A New World)
ตลาดทุนภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ต้องเลือกลงทุนแบบใด
เพราะว่าวิกฤติครั้งนี้กระทบกับหลายธุรกิจ ทำให้การดำเนินชีวิตของคนทั่วไปเปลี่ยนไป โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนในระยะยาวหลังจากนี้ เช่น การทำกิจกรรมที่ต้องรวมอยู่กับผู้คนเยอะๆ คนก็หลีกเลี่ยงไปพอสมควร ธุรกิจสื่อสาร ผู้คนก็คงต้องใช้เพิ่มขึ้น ธุรกิจอาหารและสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีพมีแนวโน้มที่ดี ธุรกิจประกันภัยและประกันสุขภาพ ก็จะมีคนให้ความสำคัญมากขึ้น
บทพิสูจน์หุ้นยั่งยืนและการลงทุนอย่างยั่งยืน
นักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น เพราะ “การจัดการความเสี่ยง” นับเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งในองค์ประกอบกลยุทธ์ความยั่งยืน ที่จะพาธุรกิจรอดพ้นจากวิกฤติเมื่อเกิดเหตุการณ์ยากลำบาก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกลงทุนในอนาคต
ในอดีตนักลงทุนอาจพิจารณาข้อมูลตัวเลขผลประกอบการ และบทวิเคราะห์ทางการเงินเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า... การทำธุรกิจโดยคำนึงถึงหลักความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environmental Social Governance) เป็นการบริหารจัดการธุรกิจที่สร้างสมดุลในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่เชื่อมโยงจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต การจัดซื้อ การบริหารความเสี่ยง การตรวจสอบควบคุมภายใน การขนส่ง และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค
ดังนั้น การบูรณาการเรื่อง ESG เข้าไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้เสียให้เพิ่มขึ้น อันจะนำไปสู่การสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนให้กับธุรกิจ
ที่ผ่านมานักลงทุนในไทยอาจจะยังไม่ได้เลือกลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึงหลักการ ESG มากนัก ขณะที่ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันต่างชาติตัดสินใจเลือกเข้าไปลงทุนในบริษัทไทยที่มุ่งทำเรื่อง ESG อย่างจริงจังมากขึ้น โดยผลการศึกษาต่างๆ ระบุว่า... บริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดี จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า อีกทั้งต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) ก็ต่ำกว่าบริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญด้าน ESG รวมถึงมีความได้เปรียบมากกว่าในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดังนั้น แม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทที่คำนึงถึงความยั่งยืน อาจมีสภาวะขึ้นลงตามสภาพแวดล้อมของตลาด แต่การลงทุนในหุ้นของบริษัทเหล่านี้จะมีความผันผวนน้อยกว่าแม้จะเจอพิษ COVID-19
และจากสถิติมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะพบว่า... บริษัทที่อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืนยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมกัน ประมาณ 9.0 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ย. 2563) และเมื่อดูสถิติย้อนหลังเปรียบเทียบอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของบริษัทจดทะเบียนใน THSI มี Dividend Yield ประมาณ 3.67%
ทั้งหมดนี้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า... ในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนจากวิกฤติ COVID-19 นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนได้พิจารณาถึงโอกาสและความเสี่ยงในด้าน ESG ควบคู่กับการพิจารณาผลประกอบการทางการเงิน เพื่อ “การลงทุนอย่างยั่งยืน” ที่จะสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ร่วมกับการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีทางอ้อมจากการสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจ โดยให้ความสำคัญเรื่อง ESG
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องการลงทุนแบบยั่งยืนเพิ่มเติม >> คลิกที่นี่