90 วันอันตราย ภาษี vs. หุ้นไทย

โดย กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
3 Min Read
8 พฤษภาคม 2568
589 views
TSI-Article-684-90-days-tax-thai-stocks-Thumbnail
Highlights
  • ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงสงวนท่าทีและไม่มีแผนตอบโต้มาตรการภาษี 36% ที่สหรัฐอเมริกา จะเรียกเก็บ โดยรัฐบาลได้เสนอแนวทางการเพิ่มการนำเข้าพลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกา เพื่อลดความเสี่ยง แต่ประเมินว่าข้อเสนอยังมีมูลค่าน้อยกว่ายอดเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญ

  • ความเสี่ยงจากนโยบายภาษียังคงอยู่และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งยอดขายที่ดินใหม่อาจปรับลดลง กลุ่มพลังงานที่อาจได้รับผลกระทบจากอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงและค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ความต้องการสินค้าลดลงและอาจเผชิญการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในอนาคตอันใกล้ ในขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ก็มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเช่นกัน จากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้

  • กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำคือการเน้นหุ้นกลุ่ม Domestic Defensive และ High Yield Play ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศหรือได้รับผลดีจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง

ณ ปัจจุบัน ไทยยังคงสงวนท่าทีต่อการที่สหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ระดับ 36% โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยว่ารัฐบาลไทยไม่มีแผนตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ส่วนข้อเสนอที่จะยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ประกอบด้วยการเพิ่มการนำเข้าพลังงาน, อากาศยานและ สินค้าเกษตรจากสหรัฐ และการสกัดกั้นไม่ให้ใช้ไทยเป็นจุดผ่านแดนสำหรับสินค้าที่มุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา

 

โดย รมว.คลัง กล่าวว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีแผนจะซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐอเมริกาปีละ 1 ล้านตัน มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 อีกทั้ง ยังมีแผนจะนำเข้าก๊าซอีเทน 0.4 ล้านตัน มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐช่วง 4 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ รมว.คลัง ยังต้องการให้มีการลงทุนเพิ่มในโครงการชลประทานและพลังงานสะอาดทั้งสำหรับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม

 

แม้จะมีมุมมองเชิงบวกต่อแผนของรัฐบาล แต่ประเมินว่า มูลค่าการนำเข้าที่วางแผนไว้ยังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 4.56 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากข้อมูลในปี 2024) จึงมองว่า รัฐบาลอาจต้องยื่นข้อเสนอเพิ่มให้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องมีการนำเข้าสินค้าอื่นเพิ่มเติม เช่น เนื้อวัว ข้าวโพด และถั่วเหลืองจากสหรัฐอเมริกา

 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะเปิดทางให้มีการนำเข้าเนื้อหมูและสัตว์ปีกจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรในประเทศ ดังนั้น ความเสี่ยงของนโยบายภาษียังคงอยู่

ผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อกลุ่มหุ้นไทย

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อความต้องการที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม จึงปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2025 – 2027 ลงเป็น 39.4 – 60.0% โดยผลการวิเคราะห์ชี้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และยอดขายที่ดินใหม่มีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) สูงถึง 75.4% จึงเปรียบเทียบมาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินโลกในปี 2008 – 2009 (วิกฤติที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย) พบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ลดลง 30.66% ในปี 2008 และ 59.55% ในปี 2009 ซึ่งการชะลอการลงทุนทำให้ยอดขายที่ดินของบริษัทในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมปรับลดลงตามไปด้วย

กลุ่มพลังงาน

ปรับลดประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ในปี 2025 จาก 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเป็น 65.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สะท้อนความเสี่ยงด้านอุปสงค์ เนื่องจากประเมินว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้และปรับขึ้นภาษีภายใต้มาตรา 232 อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความต้องการน้ำมันลดน้อยลง

 

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและจากผลของการเจรจาทางการค้าอาจทำให้มีการชะลอการเพิ่มสต๊อกสินค้าโภคภัณฑ์ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมันโลกนอกเหนือจากมติของ OPEC+ ที่จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน 2025  

 

อีกทั้ง ประเมินว่าค่าการกลั่นจะได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงปรับลดสมมติฐานค่าการกลั่นสิงคโปร์ในปี 2025/2026 เป็น 4.8/5.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ตลาดก๊าซธรรมชาติของไทยอาจต้านทานผลกระทบได้ดีกว่า โดยมองว่าผลกระทบน่าจะไม่รุนแรง เนื่องจากอุปสงค์ในเอเชียและยุโรปค่อนข้างนิ่งมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2024 และประเทศในอาเซียนอาจต้องนำเข้า LNG จากสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเพื่อต่อรองทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา น่าจะช่วยหนุนราคาก๊าซ Henry Hub จึงปรับลดคำแนะนำของกลุ่มน้ำมันและก๊าซเป็น Underweight

กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์

ปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยลง 9 - 12% ในปี 2025 – 2027 สะท้อนอุปสงค์ที่ลดลงเพราะมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น มีมุมมองที่ Conservative มากขึ้นต่อการเติบโตของธุรกิจ Data Centre ช่วง 1 – 3 ปีข้างหน้า โดยข้อมูลของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่าปีนี้ Microsoft จะชะลอการลงทุนใน Data Centre ในหลายประเทศ จึงมองว่าเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าการลงทุนใน Data Centre ทั่วโลกจะชะลอตัวลง

 

เช่นเดียวกับธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ โดยถึงแม้ว่ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จะยังไม่อยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้า อีกทั้ง เนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่บางบริษัทผูกกับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา เช่น Texas Instruments Broadcom และ Sensata จึงประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการฟื้นตัวของกำไรในปี 2025 – 2026

 

ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากมาตรการภาษี โดย S&P Global มองว่ามีความเป็นไปได้ 50% ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับภาวะห่วงโซ่อุปทานชะงักงันนาน 16 – 20 สัปดาห์ จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดเป็น 25%



เนื้อหานี้มีประโยชน์กับคุณแค่ไหน?

กลยุทธ์การลงทุน

จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ยังไม่มีความแน่นอน กลยุทธ์การลงทุน ณ ปัจจุบัน จึงกำหนดสมมุติฐานการเลือกหุ้นไว้ 2 ข้อ คือ  Domestic Defensive (เน้นดำเนินธุรกิจในประเทศ) และ High Yield Play (เงินปันผลสูง) น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยหุ้นกลุ่มโดดเด่น ได้แก่ กลุ่ม Domestic Defensive และ Yield Play กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้า และกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง

สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน