หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ว่าเป็น “วันประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจของอเมริกา” พร้อมประกาศใช้นโยบาย “ภาษีแบบตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสงครามการค้า ผลที่ตามมา คือ ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าอีก 8 วันถัดมา (9 เมษายน) ทรัมป์จะประกาศชะลอการขึ้นภาษีตอบโต 90 วัน ทำให้ดัชนีหุ้นปรับขึ้น แต่หากพูดถึงบรรยากาศการลงทุนยังคงทำให้นักลงทุนรู้สึกใจหาย เมื่อเห็นดัชนีหุ้นผันผวนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนี MSCI World Index ดัชนีที่วัดจากหุ้นขนาดกลางและใหญ่ของ 23 ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ประเมินสภาพหุ้นโดยรวมทั่วโลก ก็เผชิญกับแรงขายอย่างหนักในปีนี้
ชี้ว่า ในรอบ 53 ปีที่ผ่านมา (2515 – 2567) มีช่วงปีที่ ดัชนี MSCI World Index ปรับลดลง 10% ถึง 30 ปี และปรับลดลงมากกว่า 20% ถึง 13 ปี และเป็นน่าสังเกตว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเฉลี่ยทุกๆ สี่ปี และหากเกิดขึ้นในปีนี้ หมายความว่าจะเป็นการปรับลดลงมากกว่า 20% มากถึง 4 ครั้งในช่วงแปดปีที่ผ่านมา ถือว่าบ่อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา: Schroders
โดยเห็นได้ชัดว่าดัชนี MSCI World Index มีช่วงเวลาที่ปรับลดลงอย่างรุนแรงอยู่เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ Global Financial Crisis วิกฤติโควิด-19 ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือล่าสุดเมื่อต้นเมษายนที่ผ่านมาในประเด็นของนโยบายการขึ้นกำแพงภาษี Tariff ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะยาว ตลาดหุ้นยังคงสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนและแรงกดดันในระยะสั้นก็ตาม โดยพบว่าตลอด 55 ปีที่ผ่านมา (ปี 2513 – 2567) ดัชนี MSCI World Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.1% ต่อปี, 40 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.6%, ต่อปี 20 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.1% ต่อปี, 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.8% ต่อปี
จากสถิติดังกล่าว สะท้อนว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับลดลงและมีปัจจัยลบเต็มตลาด นักลงทุนควรตั้งสติ ใช้ข้อมูลและเหตุผลในการตัดสินใจ มากกว่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเป็นตัวตัดสินใจลงทุน เพราะวิกฤติต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ก็ถือเป็นช่วงที่เปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ที่เข้าใจความเสี่ยงและพร้อมลงทุนอยู่เสมอ
หลายคนมองว่าเงินสด คือ ที่พักเงินที่ปลอดภัยที่สุด แต่ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ Schroders ชี้ว่าเงินสดมีความเสี่ยงเสื่อมค่าจากเงินเฟ้อมากกว่าการลงทุนหุ้นในระยะยาว โดยจากกราฟด้านล่างซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หุ้นสหรัฐอเมริกาเอาชนะเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับเงินสด ระหว่างปี 2469 – 2567 พบว่า
ที่มา: Schroders
ตัวอย่าง
ดังนั้น เงินสดเหมาะกับการใช้เป็นสภาพคล่องในชีวิตประจำวันและเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน แต่หากต้องการเพิ่มมูลค่าเงินในระยะยาว ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตเหนือเงินเฟ้อ เช่น หุ้น หรือสินทรัพย์ลงทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของตัวเอง
ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ข่าวร้ายถาโถม และดัชนีความผันผวน (VIX Index) ปรับขึ้นสูง นักลงทุนอาจตัดสินใจขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง เพราะกลัวขาดทุนมากขึ้น แต่ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ Schroders ชี้ให้เห็นว่า การปล่อยให้อารมณ์นำทางการลงทุน เป็นความผิดมหันต์ อาจทำให้พลาดโอกาสสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
จากการศึกษากลยุทธ์ขายหุ้นเมื่อดัชนีความผันผวนสูงกว่าระดับ 33 จุด (นักลงทุนกังวลมาก) แล้วเปลี่ยนไปถือเงินสด จากนั้นกลับมาซื้อหุ้นเมื่อ ดัชนีความผันผวนต่ำกว่าระดับ 33 จุด (นักลงทุนคลายกังวล) ผลปรากฏว่าหากลงทุน 100 ดอลลาร์ใน S&P 500 ตั้งแต่ปี 2533 จากนั้นก็ถือเฉยๆ มาจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2568 เงินลงทุนเติบโตเป็น 2,895 ดอลลาร์ หรือได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.7% ต่อปี แต่หากเปลี่ยนไปถือเงินสดทุกครั้งที่ดัชนีความผันผวนปรับขึ้นสูง ผลตอบแทนจะเหลือเพียง 1,172 ดอลลาร์ หรือได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.0% ต่อปี
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าการลงทุนระยะยาว แม้จะต้องเจอวิกฤติหรือความผันผวน ก็ยังให้ผลตอบแทนเหนือกว่าการพยายามจับจังหวะตลาดด้วยอารมณ์ พูดง่าย ๆ การตื่นตระหนกในช่วงตลาดผันผวน อาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว (ตัวเลขผลตอบแทนต่อปีอาจไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าทบต้นหลายปีด้วยอัตราดังกล่าว มูลค่าเงินปลายทางจะแตกต่างกันมากเลยทีเดียว)
ที่มา: Schroders
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ ควรรู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน โดยสามารถใช้แบบประเมินความเสี่ยงด้วยการทำแบบประเมินเพื่อช่วยให้เข้าใจระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความสามารถในการรับความผันผวน
หากพิจารณาแผนภูมิด้านล่างที่แสดงผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินเฟ้อของสินทรัพย์หลัก 4 ประเภทในสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2469 – 2567 พบว่าในระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินเฟ้อ และให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาลและเงินสด
ที่มา: Schroders
ข้อมูลดังกล่าว สนับสนุนแนวคิดหลักที่ว่าการลงทุนในหุ้นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว และการถือเงินสดมักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อในหลายช่วงเวลา ทำให้อำนาจในการซื้อลดลงเมื่อเวลาผ่านไป จึงแนะนำให้นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกกับความผันผวนในระยะสั้นและควรมองการลงทุนในมุมมองระยะยาว
เรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!