ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนจากยุคทรัมป์ 2.0 ทำให้หุ้นไทยปรับตัวลดและทองคำพุ่งขึ้นจนทำจุดสูงสุดใหม่ มีอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงในบรรดานักลงทุนปี 2568 นั่นคือ “หุ้นจีน” โดยเฉพาะ “หุ้นเทคโนโลยีจีน”
สาเหตุจากการเปิดตัวของ DeepSeek ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ของจีน การพัฒนานี้แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังพยายามแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาในด้านเทคโนโลยี เปรียบเสมือนกับการสะบัดหางครั้งสำคัญของพญามังกร เพื่อต่อกรกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
DeepSeek เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้าน AI จากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Generative AI โดยใช้ระบบกระบวนการเรียนรู้แบบเชิงลึก (Deep Learning) โมเดลที่เราอาจจะเคยได้เห็นหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับ DeepSeek มีมากมาย เช่น DeepSeek-R1, DeepSeek-R1-zero และ DeepSeek-v3 ซึ่งมาพร้อมกับโมเดลแบบ Open-Source หมายความว่าบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปศึกษาและพัฒนาต่อยอดได้
จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ DeepSeek ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงในวงการเทคโนโลยี นั่นคือ ถูกและดี
DeepSeek-v3 ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานของ DeepSeek-R1-zero และ DeepSeek R-1 โดยทางบริษัท DeepSeek ได้ฝึกโมเดลนี้ด้วยจำนวนเงินราว 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยชิป H800 ประมาณ 2,000 ตัว ซึ่งต่ำกว่า Meta Llama 3 ที่ถูกฝึกด้วยเม็ดเงินราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Llama 3 ยังใช้ชิป H100 ซึ่งทรงพลังกว่าและแพงกว่า
DeepSeek มีต้นทุนที่ต่ำกว่าถึง 6 เท่า เพราะเน้นการทำงานแบบ Mixture-of-Expert (MoE) หรือเน้นการผสานความรู้จากผู้เชี่ยวชาญรวมไว้ในโมเดลและใช้งานเฉพาะส่วนที่เหมาะกับเนื้องาน หรือเน้นที่ Keyword เป็นหลัก ซึ่งเป็นทั้งการประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไปในตัว
อีกทั้ง ระบบการทำงานของ DeekSeek ทำงานผ่านโมเดลที่เรียกว่า Reinforcement Learning หรือการลองผิดลองถูกเพื่อนำประสบการณ์มาปรับใช้ เปรียบเสมือนกับมนุษย์ที่มีการลองผิดลองถูกและมีการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ โดยเฉพาะ DeepSeek-v3 ซึ่งเป็นโมเดลที่ถูกพัฒนาให้สมองมีรูปแบบผสมผสาน เรียกอีกอย่างว่า Multi-Head Latent Attention หรือ สามารถโฟกัสข้อมูลหลายด้านได้ในคราวเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็เปรียบเสมือนกับมนุษย์บางคนซึ่งสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ (Multitasking)
อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ CGS International (CGSI) ซึ่งเป็นทีมนักวิเคราะห์ที่นั่งอยู่ที่จีน โดยสองตัวเลขสำคัญที่ได้มาจากการสอบถามบริษัทจดทะเบียน ณ แดนมังกร และเกาะเกาลูน คือ ประมาณ 90% ของบริษัทใน Hang Seng Tech Index ได้มีการนำ AI มาใช้ในธุรกิจของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และสัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI คิดเป็น 45% ของ Hang Seng Index
โดยการประหยัดต้นทุนจากการมาของ DeepSeek จะส่งผลดีต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนใน Hang Seng อย่างไม่ต้องสงสัย และมากไปกว่านั้นปัจจุบันผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง AWS (Amazon) Azure (Microsoft) หรือ Alibaba และ Tencent ได้ผสานโมเดล DeepSeek เข้ากับแพลตฟอร์มของตัวเองแล้วเรียบร้อย
สำหรับพัฒนาการล่าสุด ประธานาธิบดี จีน สี จิ้นผิง ได้มีการเชิญผู้นำระดับสูงและผู้ประกอบการบริษัทเทคโนโลยีในจีน อาทิ Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan และ DeepSeek เพื่อหารือเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การเมือง ของประเทศจีน โดยสัญญาณสำคัญจากการประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่บทบาทที่เพิ่มขึ้นของภาคเอกชน ทั้งกฎเกณฑ์ที่จะผ่อนคลายขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ และจีนมีความตั้งใจจะผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวต่อไปแทนที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนในอดีต
หากพิจารณาผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2568 ของ Hang Seng Tech Index (ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีฮ่องกง) NASDAQ100 (ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา 100 ตัว) Magnificent 7 หรือหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา 7 บริษัท (Apple Microsoft Alphabet Amazon META Tesla Nvidia) และตัวแทน 4 จาก 10 ของ Terrific10 หรือหุ้นทศเทพจีน (Alibaba Baidu BYD Geely JD.com Meituan NetEase SMIC Tencent และ Xiaomi) พบว่าของ Terrific10 อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ
หากพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบหรือการประเมินมูลค่า Forward P/E ของ Hang Seng Tech Index ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า NASDAQ เกือบถึง 2 เท่า และอยู่ในระดับที่เรียกว่าไม่แพง หรือระดับ -1 S.D. (Standard Deviation)
อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจ คือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกมูลค่าโดยรวมของบริษัท คำนวณได้จากการนำราคาปิดของหลักทรัพย์มาคูณกับจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยนำมาร์เก็ตแคปของ Terrific10 และ Magnificent 7 มาเปรียบเทียบให้เห็นกัน พบว่ามาร์เก็ตแคปของ Magnificent 7 ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 จาก 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ Terrific 10 ที่มาร์เก็ตแคปอยู่ระดับ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน
เหตุผลที่มาร์เก็ตแคปของหุ้น Magnificent 7 ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยระยะเวลาราว 2 ปี ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวของ ChatGPT จากบริษัท OpenAI ทำให้โลกเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มตัว จึงมีการจับตาการมาของ DeepSeek อาจทำให้หุ้นเทคโนโลยีจีน (Terrific10) จะเดินตามรอยหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาหรือไม่
จะเห็นได้ว่า การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีจีนในปี 2568 โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงผลักดันจากการเปิดตัว DeepSeek เทคโนโลยี AI ใหม่ของจีน ซึ่งมีต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่าเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีส่งผลให้หุ้นจีนมีผลตอบแทนที่ดี
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน สามารถลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยด้วย DR (Depositary Receipt) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้นผ่านแพลตฟอร์ม Streaming โดยผู้ออก DR จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้นต่างประเทศแล้วเสนอขายหุ้นต่างประเทศนั้นให้กับผู้ลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาท เช่น หากสนใจหุ้นกลุ่ม Terrific 10 ก็ลงทุน DR “BIDU80” “BABA80” “TENCENT80” “XIAOMI80” หรือลงทุนผ่านดัชนี “HKCE01” ที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (ETF) อ้างอิงกับ Hang Seng Index ก็ได้
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
รู้จัก DR ให้มากขึ้น! ตั้งแต่การเรียนรู้พื้นฐานการลงทุนใน DR, กลไกการเคลื่อนไหวของราคา, วิธีการซื้อขาย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนใน DR ฟรีบน SET e-Learning กับหลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่”