สงครามการค้า เมื่อภาษีนำเข้าสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
11 กุมภาพันธ์ 2568
6.962k views
TSI-Article-663-Inv-trade-war-import-tariffs-impact-global-economy-Thumbnail
Highlights
  • สงครามการค้า ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกผันผวนจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อ GDP, เงินเฟ้อ, ตลาดแรงงาน และการลงทุนทั่วโลก

  • อุตสาหกรรมหลักได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะยานยนต์ พลังงาน และเกษตรกรรม ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านมูลค่าการค้า ทำให้แต่ละบริษัทต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่

  • ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเน้นการกระจายการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตให้สมดุล

ในโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยการค้าระหว่างประเทศ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าโดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีนเท่านั้น แต่ยังสร้างคลื่นกระเพื่อมไปทั่วระบบเศรษฐกิจโลก

การขึ้นภาษีนำเข้า กระทบเศรษฐกิจโลกเฉียบพลัน

การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา เปรียบเสมือนการจุดชนวนระเบิดลูกใหญ่ในระบบเศรษฐกิจโลก โดยสถาบันวิจัย Oxford Economics มหาวิยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเมินตัวเลขการเติบโตของ GDP สหรัฐสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าจะลดลง 0.7% แต่ก็เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ในขณะที่แรงกระเพื่อมลูกใหญ่กำลังก่อตัวใต้ผิวน้ำ การว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นในแคนาดาและเม็กซิโกสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของตลาดแรงงานในยุคที่ห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกันทั่วโลก

 

อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นผลพวงโดยตรงจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ตลาดการเงินผันผวนรุนแรงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

ความปั่นป่วนในภาคอุตสาหกรรม

ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยสำนักข่าว CNBC รายงานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Volkswagen และ Stellantis ไม่เพียงต้องเผชิญกับการลดลงของรายได้ แต่ยังต้องทบทวนกลยุทธ์การผลิตและห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ

 

ขณะที่ภาคพลังงาน ข้อมูลจากสำนักข่าว Americas Quarterly ประเมินว่ามูลค่าการค้าที่เสี่ยงสูงถึง 165 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความมั่นคงด้านพลังงานในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมซึ่งมีมูลค่าการค้าที่เสี่ยง 98 พันล้านดอลลาร์ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว

การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก

การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเกิดขึ้นในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ข้อมูลจากธนาคารโลก มองว่าแนวคิดการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศพันธมิตร (Friend-shoring) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น บริษัทข้ามชาติจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานมากกว่าการแสวงหาต้นทุนที่ต่ำที่สุด

 

อีกทั้ง การย้ายฐานการผลิตเข้าใกล้ตลาดมากขึ้น (Near-shoring) กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดความเสี่ยง แม้ว่าจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีน้ำหนักมากขึ้นในการตัดสินใจทางธุรกิจ การปรับโครงสร้างเหล่านี้กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การผลิตโลกครั้งใหญ่

อนาคตความสัมพันธ์การค้าโลก

อนาคตของการค้าโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่มาพร้อมกับความท้าทายและโอกาส การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าไม่เพียงส่งผลต่อรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังนำไปสู่การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ เริ่มจับกลุ่มทางการค้าใหม่ โดยคำนึงถึงความมั่นคงและผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์มากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน การเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลและ e-Commerce กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้ง การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทวีความเข้มข้นขึ้น การกำกับดูแลการค้าดิจิทัลและการจัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลกลายเป็นประเด็นท้าทายใหม่ที่ประชาคมโลกต้องร่วมกันหาทางออก

ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า

หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นในทันที

การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น

  • ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 1% ดัชนี S&P500 ลดลง 1.5% และดัชนี Nasdaq Composite ร่วงลง 1.8% ในช่วงเช้าหลังการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า (3 กุมภาพันธ์ 2568)
  • ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น การขึ้นภาษีนำเข้าได้เพิ่มความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูงขึ้น
  • ผลกระทบต่อมูลค่า นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้มูลค่าที่เหมาะสมของดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ 5%
  • ผลกระทบต่อกำไร การขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ S&P500 ลดลงประมาณ 2 - 3% นักวิเคราะห์จาก Bank of America ประเมินว่าในกรณีที่เกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ อาจส่งผลให้กำไรรวมของ S&P500 ลดลงถึง 8%
  • ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การขึ้นภาษีนำเข้าส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตรา รวมถึงเงินเปโซเม็กซิโกและดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อมูลค่าหุ้น
  • ปฏิกิริยาของตลาดทั่วโลก ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์หลากหลายประเภท
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุน การขึ้นภาษีนำเข้าได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้เกิดความสนใจในการป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ลดลงมากขึ้น
  • โอกาสในการปรับฐาน Marko Kolanovic อดีตนักยุทธศาสตร์จาก JPMorgan เสนอว่าตลาดอาจเผชิญกับการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจผลักดันให้ดัชนี S&P500 เคลื่อนไหวในช่วง 5,000 – 5,500 จุด

 

มาตรการภาษีนำเข้าไม่เพียงส่งผลกระทบระยะสั้นต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว ทั้งการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้า และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับความท้าทายใหม่ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึงการรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ประเทศและการรักษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่นกันนักลงทุนต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

เรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation ได้ฟรี!

 


แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน