เจาะลึกบรรษัทภิบาล เมื่อขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้อง

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
15 มกราคม 2568
1.24k views
TSI Article 656 Inv Corporate Governance Expansion Strategy Related Businesses
Highlights
  • การขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้องเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทจดทะเบียนนิยมใช้ แต่มาพร้อมความท้าทายด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงและความเสียหายได้

  • สัญญาณความเสี่ยงที่ควรสังเกต ได้แก่ ลักษณะการควบคุมและการถือหุ้น รูปแบบธุรกรรมที่น่าสนใจ ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล และการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้บริหาร

  • แนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน ควรเน้นความโปร่งใส การตรวจสอบที่เป็นอิสระ และการรายงานที่มีประสิทธิภาพ ส่วนนักลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน ติดตามสถานการณ์ และใช้สิทธิผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสม

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง การขยายธุรกิจผ่านการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทจดทะเบียนนิยมใช้ แม้จะมีข้อดีในการสร้างการเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี เช่น กรณีบริษัทไอทีชั้นนำแห่งหนี่งของอินเดีย แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของการขาดการกำกับดูแลที่ดี เมื่อการทำธุรกรรมผ่านกิจการที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การทุจริตและการล่มสลายของบริษัทในปี 2009 สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

แม้การขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้องจะเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปในวงการธุรกิจ แต่ประสบการณ์จากบริษัทชั้นนำระดับโลกสะท้อนให้เห็นว่า การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุน จึงควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

สัญญาณความเสี่ยงของการขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้อง

ในโลกการลงทุน การสังเกตสัญญาณเบื้องต้นถือเป็นทักษะสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทจดทะเบียนมีการขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแม้จะเป็นกลยุทธ์การเติบโตที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็มักซ่อนความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น การเรียนรู้ที่จะอ่านและตีความสัญญาณต่าง ๆ จึงเป็นเสมือนเข็มทิศที่จะช่วยนำทางในการตัดสินใจ โดยมีสัญญาณสำคัญ ดังนี้

• ลักษณะการควบคุมและการถือหุ้น

บริษัทจดทะเบียนเลือกถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงเกินความจำเป็น โดยอ้างว่าเพื่อความคล่องตัวในการบริหาร แต่การถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงเกินไปอาจลดทอนการตรวจสอบและถ่วงดุล ยิ่งหากมีโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อน ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน

• รูปแบบธุรกรรมที่น่าสนใจ

การทำธุรกรรมระหว่างกิจการที่เกี่ยวข้องไม่ใช่เรื่องผิดปกติในทางธุรกิจ แต่สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ ความถี่และลักษณะของธุรกรรม โดยเฉพาะเมื่อพบการทำรายการบ่อยครั้งผิดปกติ หรือมีเงื่อนไขที่แตกต่างจากการค้าทั่วไป เช่น การให้เครดิตการค้าที่ผิดปกติ นอกจากนี้ การโอนหรือได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงก็ควรตรวจสอบอย่างละเอียด

• ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล

บริษัทที่มีบรรษัทภิบาลที่ดีจะให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจน แต่หากพบว่าบริษัทมีการชี้แจงข้อมูลที่คลุมเครือ ไม่ตรงประเด็น หรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเป็นสัญญาณที่ต้องระมัดระวัง

• การเปลี่ยนแปลงในระดับผู้บริหาร

การลาออกหรือเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงอย่างกะทันหัน อาจเป็นสัญญาณที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ถือหุ้นใหญ่ ควรพิจารณาถึงความเป็นอิสระในการบริหารงาน

ประเด็นที่ควรพิจารณา

หลังจากที่สังเกตเห็นสัญญาณต่าง ๆ แล้ว ขั้นต่อไป คือ การวิเคราะห์เชิงลึกในประเด็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

• โครงสร้างการลงทุนและการควบคุม

เมื่อพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างการลงทุน ควรศึกษาว่าสัดส่วนการถือหุ้นที่บริษัทเลือกใช้นั้นเหมาะสมหรือไม่ มีกลไกการถ่วงดุลอำนาจอย่างไร และระบบการควบคุมภายในมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่

• การทำธุรกรรมระหว่างกัน

ในการวิเคราะห์ธุรกรรมระหว่างกิจการที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาความสมเหตุสมผลของราคาและเงื่อนไขทางการค้า รวมถึงกระบวนการอนุมัติรายการว่ามีความรัดกุมและโปร่งใสเพียงใด

• การบริหารความเสี่ยง

ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ ผลกระทบของการลงทุนต่อสถานะทางการเงินของบริษัท ทั้งในแง่ของภาระหนี้สิน ความสามารถในการทำกำไร และความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

แนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับการขยายธุรกิจ โดยสามารถแบ่งแนวทางการกำกับดูแลออกเป็น 2 ส่วนหลัก

• สำหรับบริษัทจดทะเบียน

การสร้างระบบบรรษัทภิบาลที่แข็งแกร่งควรเริ่มต้นจากภายในองค์กร ควรให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการตัดสินใจลงทุน ตั้งแต่กระบวนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ไปจนถึงการติดตามผลการดำเนินงาน อีกทั้ง การสร้างกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรมีคณะกรรมการตรวจสอบที่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง และมีทรัพยากรเพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงระบบการรายงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

• สำหรับนักลงทุน

นอกจากการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขทางการเงินแล้ว ควรศึกษาถึงเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจและผลกระทบในระยะยาว การติดตามการเปิดเผยข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการทำรายการสำคัญ รวมถึงการใช้สิทธิผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสมเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น การตั้งคำถาม หรือการใช้สิทธิออกเสียงในวาระสำคัญ

บรรษัทภิบาลในการขยายธุรกิจผ่านกิจการที่เกี่ยวข้องเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องให้ความสนใจ การสังเกตสัญญาณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการถือหุ้น รูปแบบธุรกรรม หรือความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล ล้วนเป็นเครื่องมือช่วยป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้สิทธิผู้ถือหุ้นเมื่อจำเป็น เพื่อให้การลงทุนเติบโตอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้แนวคิด ความสำคัญ และแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เทรนด์การลงทุนระยะสั้น แต่กำลังเป็นการลงทุนกระแสหลักของโลก สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ESG วิถีใหม่ลงทุนอย่างยั่งยืน ได้ฟรี!!! 

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน