การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งแนวคิดดังกล่าวทำให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคม แต่เบื้องหลังความน่าสนใจนี้ มีความเสี่ยงหลายประการที่ควรทำความเข้าใจ
จากรายงานของ Morgan Stanley พบว่าการลงทุน ESG ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรทำความเข้าใจกับ 5 ความเสี่ยงเบื้องต้นที่ต้องระวังในปี 2568 พร้อมแนวทางการรับมือที่เป็นประโยชน์
ปี 2568 สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและสร้างความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุนในโลกของการลงทุน ESG คือ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ เช่น สหภาพยุโรปเพิ่งประกาศใช้มาตรฐานการรายงาน ESG ฉบับใหม่ที่เข้มงวดขึ้นมาก โดยบริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลละเอียดกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ หรือแม้แต่การจ้างงานในห่วงโซ่อุปทาน
สำหรับประเทศไทยก็กำลังพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิตของตัวเอง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุน เช่น บริษัทที่ไม่พร้อมปรับตัวอาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นที่เคยได้คะแนน ESG ดีอาจถูกปรับลดคะแนนเมื่อใช้เกณฑ์ใหม่ หรือการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างบริษัทอาจทำได้ยากขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน
การประเมินมูลค่าหุ้น ESG เปรียบเสมือนการชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งหลายเครื่องที่ให้ตัวเลขต่างกัน นักลงทุนจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น บทวิเคราะห์ Morgan Stanley รายงานว่าหุ้นที่มีคะแนน ESG สูงมักมีราคาแพงกว่าหุ้นทั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกันประมาณ 10 – 30% เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ESG Premium ซึ่งบางครั้งอาจสูงเกินกว่าคุณค่าที่แท้จริง นอกจากนี้ มีโอกาสเกิดความสับสนจากคะแนน ESG เนื่องจากสถาบันจัดอันดับ ESG แต่ละแห่งมีวิธีการประเมินที่แตกต่างกัน บริษัทเดียวกันอาจได้คะแนน ESG ดีเยี่ยมจากที่หนึ่ง แต่กลับได้คะแนนต่ำจากอีกที่หนึ่ง ทำให้นักลงทุนสับสนในการตัดสินใจ
สำหรับแนวทางป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุน ควรใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบการตัดสินใจ พิจารณาปัจจัยพื้นฐานควบคู่กับคะแนน ESG เปรียบเทียบราคากับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างรอบคอบ ตลอดจนติดตามการเปลี่ยนแปลงของคะแนน ESG อย่างสม่ำเสมอ
McKinsey Global Institute ระบุไว้ในบทวิจัยว่า ลองนึกถึงโทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ๆ ที่เคยมีราคาแพง แต่ปัจจุบันกลายเป็นของโบราณไปแล้ว การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวก็มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน
“อายุการใช้งานเฉลี่ยของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดลดลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 3 - 5 ปี เช่น แผงโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 20 - 30% ทุก ๆ 2 ปี ทำให้รุ่นเก่าอาจต้องถูกเปลี่ยนเร็วกว่าที่วางแผนไว้”
นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเทคโนโลยีสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น บริษัทจากจีนกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว หากบริษัทไหนไม่สามารถลดต้นทุนตามอาจประสบปัญหาทางการเงินได้ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาการบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีของบริษัท เช่น ศึกษาแผนการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัท ติดตามแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม กระจายการลงทุนในหลายเทคโนโลยีและหลายบริษัท รวมถึงพิจารณาความสามารถในการปรับตัวของบริษัทในอดีต
ปี 2565 Harvard Business Review รายงานว่า 60% ของบริษัทที่อ้างว่าทำตามมาตรฐาน ESG มีการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ประกาศไว้ เช่น บริษัทบางแห่งโฆษณาเกินจริงเรื่องพลังงานสะอาด ดังนั้น หากลงทุนในบริษัทที่ถูกจับได้ว่าทำการฟอกเขียว (Greenwashing) ราคาหุ้นอาจปรับลดลงได้ และที่สำคัญความเสียหายต่อชื่อเสียงอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟู
สำหรับวิธีตรวจจับ Greenwashing เช่น หากบริษัทโพรโมตว่าเป็น Carbon Neutral ทันที โดยไม่มีแผนงานที่ชัดเจน บอกว่าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ (เช่น 50%) แต่ไม่บอกว่าเทียบกับปีไหน หรือวัดอย่างไร โดยหากเห็นข้อมูลดังกล่าวควรศึกษาข้อมูลรอบคอบ เช่น ตรวจสอบรายงานความยั่งยืนอย่างละเอียด โดยเฉพาะตัวเลขและเป้าหมายที่วัดผลได้จริง ดูการรับรองจากหน่วยงานภายนอกที่น่าเชื่อถือ ติดตามข่าวและความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ พูดคุยกับผู้บริหารเกี่ยวกับแผนงานด้าน ESG เช่น กิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) เป็นต้น
การลงทุน ESG ก็มีความผันผวนและความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง นักลงทุนจึงไม่ควรมองข้าม ซึ่งจากงานวิจัยโดย J.P. Morgan พบว่าดัชนีหุ้น ESG มีความผันผวนสูงกว่าดัชนีหุ้นทั่วไปถึง 15 - 20% ในช่วงที่ตลาดมีความกังวล โดยเฉพาะเมื่อเกิดข่าวที่กระทบต่อความเชื่อมั่น เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ หรือการพบกรณี Greenwashing ในบริษัทขนาดใหญ่ เช่น เมื่อลงทุนในหุ้นพลังงานสะอาด ปรากฏว่าในวันถัดมารัฐบาลประกาศลดเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน ราคาหุ้นอาจปรับลดลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ หุ้น ESG มักมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในตลาดเกิดใหม่ หมายความว่า หากต้องการขายหุ้นอาจทำได้ยากกว่าที่คิด หรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะนักลงทุนสถาบันที่สนใจลงทุน ESG ยังมีจำนวนจำกัด การซื้อขายในแต่ละวันอาจมีปริมาณน้อย
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น ESG ควรตรวจสอบสภาพคล่องก่อนลงทุน (เช่น ดูปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน จำนวนนักลงทุนสถาบันที่ถือหุ้น) กระจายการลงทุนให้เหมาะสม (เช่น ลงทุนในหลายอุตสาหกรรม และผสมระหว่างหุ้น ESG และหุ้นทั่วไป)
การลงทุนในหุ้น ESG ในปี 2568 เปรียบเสมือนการเดินทางในเส้นทางใหม่ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ความเสี่ยงในการประเมินมูลค่า การพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ปัญหา Greenwashing หรือความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ล้วนเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี การลงทุน ESG ก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจในการสร้างผลตอบแทนที่ดีควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคมอีกด้วย
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน