ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้อย่างไร เมื่อเทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

โดย เจษฎา เจริญสันติพงศ์ Assistant Manager Branch Banking Client Marketing บลจ.ธนชาต
3 Min Read
23 กุมภาพันธ์ 2565
2.663k views
Inv_ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้อย่างไร เมื่อเทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น_Thumbnail
Highlights

จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในปี 2565 ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาและตราสารหนี้ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้ด้วยเช่นกัน แต่ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาตราสารหนี้จะกระทบเท่า ๆ กัน แปลว่า หากเข้าใจและวางแผนการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ย่อมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

หากพูดถึงปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นักลงทุนกังวลมาตลอดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่กำลังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเงินเฟ้อได้ไปแตะที่ระดับ 7.1% สูงสุดในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ปี 1982

 

การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ลงทุนเป็นวงกว้าง เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หุ้น ทองคำ น้ำมัน รวมถึงกองทุนรวมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้น การติดตามข้อมูลและเรียนรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นหรือปรับลง ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหากเข้าใจแล้วปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลตอบแทนจะยังเป็นไปตามเป้าหมาย
       

คำว่า “อัตราดอกเบี้ย” ที่ได้ยินนักวิเคราะห์อธิบายบ่อย ๆ หมายถึง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กำหนดโดยธนาคารกลาง เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ โดยเป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่นำเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงินต่อไป

 

การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ส่งผลกระทบกับธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้กู้เงินหรือผู้ฝากเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง หากเป็นผู้กู้เงิน ดอกเบี้ยที่จ่ายจะลดลง หรือหากเป็นผู้ฝากเงินก็จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยลง ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลง ประชาชนอาจมีแนวโน้มจะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยถูกลง ขณะเดียวกันอาจมีแนวโน้มฝากเงินน้อยลง และนำเงินไปใช้จ่ายหรือลงทุนมากขึ้น

 

ตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น หากเป็นผู้กู้เงิน ดอกเบี้ยที่จ่ายจะเพิ่มขึ้น หากเป็นผู้ฝากเงินก็จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ประชาชนอาจมีแนวโน้มจะกู้เงินน้อยลงเพราะอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ขณะเดียวกันอาจมีแนวโน้มฝากเงินเพิ่มขึ้นเพราะได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

โดยสรุป เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลง ประชาชนจะใช้จ่ายมากขึ้น ตรงกันข้ามเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นก็จะใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งการใช้จ่ายของประชาชนจะส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการ ตามหลักอุปสงค์และอุปทาน

 

ดังนั้น หากต้องการให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ต้องประเมินว่าประชาชนมีแนวโน้มจะใช้จ่ายเท่าไร การผลิตสินค้าและบริการมีแนวโน้มมากหรือน้อยกว่ากำลังการผลิต แล้วจึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสม หากใช้จ่ายน้อยเกินไป ราคาสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นน้อยหรือลดลง เศรษฐกิจจะชะลอตัว และการจ้างงานลดลง ในกรณีนี้ ธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีอีกครั้ง

 

หากประชาชนใช้จ่ายมากเกินไป ราคาสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นสูงมาก เศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วและร้อนแรงเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมากจนมูลค่าของเงินลดลงหรือเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว ในกรณีนี้ ธนาคารกลางอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอการใช้จ่าย ช่วยให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงจนเกินไป

 

เมื่อ Fed ออกมาประกาศว่าจะเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้เริ่มกังวลว่าจะทำให้ผลตอบแทนผันผวน เนื่องจากความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยกับราคาของตราสารหนี้จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยราคาของตราสารหนี้จะลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าของกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ปรับลดลงด้วย

       

โดยทั่วไปกองทุนรวมตราสารหนี้มีแนวโน้มจะสร้างผลตอบแทนได้ดีเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลง เนื่องจากตราสารหนี้ที่อยู่ในพอร์ตกองทุนจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตราสารหนี้ที่กำลังออกใหม่ อย่างไรก็ตาม หาก Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผลตอบแทนของกองทุนรวมตราสารหนี้อาจปรับลดลง เนื่องจากตราสารหนี้ที่ออกใหม่จะจ่ายอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (คูปอง) สูงกว่า ทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้รุ่นเก่าปรับลดลง จึงสังเกตได้ว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ผู้ที่ถือตราสารหนี้อยู่และต้องการที่จะขายตราสารหนี้อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่ราคาตราสารหนี้จะลดลง   

 

อีกทั้ง การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม ซึ่ง NAV จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรายรับดอกเบี้ย เงินปันผล และส่วนต่างจากการขายตราสารหนี้ ดังนั้น การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้ราคาตราสารหนี้ที่กองทุนถืออยู่ปรับลดลง และ NAV ของกองทุนก็ลดลงด้วย และหากต้องการขายกองทุนก็จะได้ราคาต่อหน่วยลงทุนที่ต่ำลง

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่า ราคาตราสารหนี้ทุกตัวจะปรับลดลงเหมือนกัน โดยตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือยาวจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือสั้นกว่า แปลว่า กลยุทธ์การลงทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือสั้นกว่าจะสอดคล้องกับช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น และเมื่อครบอายุก็ทำการลงทุนไปเรื่อย ๆ (Roll Over) ทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำตามอายุของตราสารหนี้ และการ Roll Over จะช่วยให้นักลงทุนไม่เสียโอกาสในการรับดอกเบี้ยที่ระดับใหม่ด้วย

 

ดังนั้น นักลงทุนควรเน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเช่นเดียวกัน นอกจากจะลดความเสี่ยงจากช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่หลากหลายอีกด้วย ทั้งอายุคงเหลือ ประเภทของตราสารหนี้ ที่สำคัญแต่ละครั้งใช้เงินลงทุนไม่มาก (บางกองทุนไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน) และลงทุนด้วยวิธีแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) อย่างต่อเนื่องเป็นรายงวด ทำให้ได้ลงทุนสม่ำเสมอเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นหรือปรับลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากนักลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารและเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และนำมาใช้เพื่อปรับพอร์ตลงทุนของตัวเองก็จะเกิดผลดี คือ ทำให้พอร์ตลงทุนโดยรวมยังคงได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายต่อไป

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐานของตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ การวิเคราะห์ราคาตราสารหนี้ ผลตอบแทน และความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ ตลอดจนวิธีซื้อขายตราสารหนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและสม่ำเสมอ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุนตราสารหนี้ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หรือสนใจเรียนรู้ลักษณะพื้นฐานของกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ผลตอบแทน ความเสี่ยง ข้อควรระวังจากการลงทุน สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนเทคนิคการเลือกกองทุนรวมให้เหมาะกับตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุนกองทุนรวมฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: