ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ การลงทุนอย่างยั่งยืนโดยพิจารณาผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ของธุรกิจ กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก โดยในปี 2568 ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงานข้อมูล ESG ครั้งใหญ่ นักลงทุนต้องเข้าใจประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย ESG เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสการลงทุนที่กำลังจะมาถึง โดยมี 5 ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรพลาด
ลองนึกถึงการซื้อโทรศัพท์มือถือ หากแต่ละยี่ห้อวัดความเร็วและประสิทธิภาพด้วยวิธีที่ต่างกัน จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร ปัญหานี้คล้ายกับสถานการณ์การรายงานข้อมูล ESG ในปัจจุบัน ที่แต่ละประเทศและผู้ให้บริการจัดอันดับมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน แต่ในปี 2568 กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อองค์กรระหว่างประเทศ International Sustainability Standards Board (ISSB) ประกาศใช้มาตรฐานการรายงาน ESG แบบใหม่ ที่จะทำให้การเปรียบเทียบข้อมูล ESG ง่ายขึ้นมาก
ตัวอย่าง บริษัท XYZ ที่ต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้มาตรฐานใหม่นี้บริษัทจะต้องแสดงข้อมูล
สำหรับนักลงทุนไทย การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงาน ESG ในปี 2568 จะเปิดโลกการลงทุนให้กว้างขึ้นอย่างมาก เปรียบเสมือนการมีแว่นตาวิเศษที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมการลงทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อน้ำท่วมครั้งใหญ่ในยุโรป พายุที่รุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ภัยแล้งในไทย ล้วนส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของนักลงทุน ซึ่งปี 2568 ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยิ่งทวีความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ดังนี้
การลงทุนในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน เหมือนการเดินทางที่ต้องเตรียมร่มไว้ยามฝนตก นักลงทุนควรเตรียมพอร์ตลงทุนให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
ตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยก่อนลงทุนในบริษัทใด ลองถามตัวเองง่าย ๆ
ตัวอย่าง หากลงทุนในบริษัทที่มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วม ควรดูว่าบริษัทมีแผนป้องกันอย่างไร
มองหาบริษัทที่เตรียมพร้อม เลือกลงทุนในบริษัทที่ตื่นตัวและเตรียมรับมือ
กระจายความเสี่ยง
นับตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา การทำงานที่บ้าน การประชุมออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและแรงงานที่กำลังเกิดขึ้น สำหรับผลกระทบต่อการลงทุนหลังจากวิกฤติโควิด-19 ที่ควรคำนึง มีดังนี้
โลกของงานที่ไม่เหมือนเดิม
ปัจจุบัน พนักงานบริษัทเอกชนบางคนอาจนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน คอลเซนเตอร์อาจอยู่คนละจังหวัดกับออฟฟิศ หมายความว่าบริษัทที่ปรับตัวได้ดีที่ลงทุนในระบบทำงานทางไกลจะมีประสิทธิภาพและต้นทุนที่ดีขึ้น ขณะที่บริษัทที่ปรับตัวไม่ทัน อาจเสียทั้งพนักงานและความสามารถในการแข่งขัน
พนักงานยุคใหม่ไม่เหมือนเดิม
“เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานประจำ” เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อย ๆ แต่ความจริง คือ คนรุ่นใหม่แค่มองหาสมดุลชีวิตและงานที่มีความหมายมากขึ้น บริษัทที่เข้าใจเทรนด์นี้ที่ปรับระบบการทำงานให้ยืดหยุ่นและสนับสนุนการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ กลับดึงดูดคนเก่งได้มากขึ้น
ความเท่าเทียมที่มากกว่าคำพูด
ไม่ใช่แค่เรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น แต่รวมถึงคนพิการ ผู้สูงอายุ และคนทุกกลุ่มในสังคม ดังนั้น บริษัทที่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียม เช่น จ้างงานผู้พิการ โครงการจ้างงานผู้สูงอายุ กลับได้ทั้งภาพลักษณ์ที่ดีและพนักงานที่ทุ่มเทให้องค์กร
ทักษะใหม่ในโลกดิจิทัล
หากย้อนไป 5 ปีที่แล้ว คำว่า “นักพัฒนา AI” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญ Blockchain” อาจจะไม่แพร่หลายนัก แต่ปัจจุบันบริษัททั่วโลกให้ความสำคัญและลงทุนพัฒนาทักษะพนักงานอย่างจริงจัง เช่น การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยี การนำ AI เข้ามาทำงาน ซึ่งจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมหุ้นบางตัวราคาปรับลดลงเพราะข่าวข้อมูลรั่วไหล หรือทำไมบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ทุ่มเงินจำนวนมากกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะโลกดิจิทัลทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่ความสะดวกสบาย แต่มาพร้อมความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้ทัน ดังนั้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
อาทิ หากแฮกเกอร์เจาะระบบธนาคารได้ไม่กี่นาที ความเชื่อมั่นที่สร้างมาหลายสิบปีก็พังพินาศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าปี 2566 ธนาคารในไทยลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เฉลี่ยธนาคารละ 500 - 1,000 ล้านบาท “ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความอยู่รอด” เช่น ธนาคารกสิกรไทย จัดตั้งศูนย์ Cyber Security 24 ชั่วโมง,ธนาคารกรุงไทยได้พัฒนาระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นเรื่องสำคัญในยุคดิจิทัล ดังนั้น ในปัจจุบันข้อมูลลูกค้ามีค่าเหมือนทองคำ แต่ก็มาพร้อมความรับผิดชอบ PDPA ซึ่งไม่ใช่แค่กฎหมายให้ปฏิบัติตาม แต่เป็นโอกาสสร้างความไว้วางใจ โดยบริษัทที่จัดการข้อมูลลูกค้าได้ดี มักจะได้รับความเชื่อมั่นและมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงพบว่าบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งตื่นตัวด้วยการลงทุนกับความรับผิดชอบ PDPA เช่น ลงทุนระบบจัดการข้อมูลลูกค้าแบบใหม่ ฝึกอบรมพนักงานเรื่อง PDPA ทุกระดับ หรือพัฒนาระบบให้ลูกค้าจัดการข้อมูลตัวเองได้
เช่นเดียวกับ AI กับจริยธรรมก็เป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพราะ AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจ คำถาม คือ จะใช้อย่างไรให้ถูกต้องและเป็นธรรม ดังนั้น บริษัทที่ใช้ AI ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อพนักงาน ลูกค้า และสังคม ทำให้บริษัทหลายแห่งตื่นตัวกับประเด็นดังกล่าว เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว การพัฒนา AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ และการตั้งคณะกรรมการจริยธรรม AI โดยเฉพาะ เป็นต้น
นักลงทุนอาจสงสัยว่าทำไมบางบริษัทถึงมีราคาหุ้นที่แพงกว่าคู่แข่งทั้ง ๆ ที่กำไรไม่แตกต่างกัน คำตอบหนึ่งอาจเป็นเพราะการจัดการด้าน ESG ที่ดีกว่า ดังนั้น ควรประเมินมูลค่าหุ้นโดยคำนึงถึง ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน
เครื่องมือวัดผลแบบใหม่ ไม่ใช่แค่วิเคราะห์ ROE หรือ P/E Ratio แต่ควรพิจารณาตัวชี้วัดด้าน ESG ด้วย เช่น คาร์บอนฟุตพรินต์ต่อรายได้ อัตราการลาออกของพนักงาน และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า เป็นต้น
การลงทุนในยุค ESG นักลงทุนต้องพิจารณาว่าบริษัทมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลอย่างไร เริ่มจากการดูคะแนน ESG จากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เช่น หุ้นในดัชนี SETESG MSCI หรือ Sustainalytics แต่อย่าหยุดแค่นั้น ต้องศึกษาแผนงานและการลงทุนด้าน ESG ว่าจริงจังแค่ไหน พิจารณาว่าผู้บริหารให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพราะคะแนน ESG ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงได้ตามการดำเนินงานของบริษัท ที่สำคัญ ต้องมองให้เห็นว่าการลงทุนด้าน ESG จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทในระยะยาวได้อย่างไร
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน