5 ประเด็นควรรู้ ก่อนประเมินมูลค่าหุ้นด้วย ESG ปี 2568

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
4 Min Read
13 ธันวาคม 2567
2.654k views
TSI_Article_645_Inv_Thumbnail
Highlights
  • ในปี 2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงาน ESG ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบข้อมูล ESG ของบริษัทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้การตัดสินใจลงทุนมีความแม่นยำและมีความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่มากขึ้น

  • การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุน โดยนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงและมองหาบริษัทที่มีการวางแผนรับมือกับภัยธรรมชาติและมีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

  • ด้านสังคมและแรงงานในยุคดิจิทัล บริษัทที่ปรับตัวได้ดีและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ รวมถึงการสร้างความหลากหลายในองค์กร มักจะมีความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมที่ดีขึ้น นักลงทุนควรประเมินประเด็นเหล่านี้ในการตัดสินใจลงทุน

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ การลงทุนอย่างยั่งยืนโดยพิจารณาผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) ​และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ของธุรกิจ กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก โดยในปี 2568 ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงานข้อมูล ESG ครั้งใหญ่ นักลงทุนต้องเข้าใจประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย ESG เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสการลงทุนที่กำลังจะมาถึง โดยมี 5 ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรพลาด

1. มาตรฐานการรายงาน ESG ใหม่ สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้

ลองนึกถึงการซื้อโทรศัพท์มือถือ หากแต่ละยี่ห้อวัดความเร็วและประสิทธิภาพด้วยวิธีที่ต่างกัน จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร ปัญหานี้คล้ายกับสถานการณ์การรายงานข้อมูล ESG ในปัจจุบัน ที่แต่ละประเทศและผู้ให้บริการจัดอันดับมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน แต่ในปี 2568 กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อองค์กรระหว่างประเทศ International Sustainability Standards Board (ISSB) ประกาศใช้มาตรฐานการรายงาน ESG แบบใหม่ ที่จะทำให้การเปรียบเทียบข้อมูล ESG ง่ายขึ้นมาก

 

ตัวอย่าง บริษัท XYZ ที่ต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้มาตรฐานใหม่นี้บริษัทจะต้องแสดงข้อมูล

  • ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • เป้าหมายและแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ผลกระทบทางการเงินจากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม

 

สำหรับนักลงทุนไทย การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงาน ESG ในปี 2568 จะเปิดโลกการลงทุนให้กว้างขึ้นอย่างมาก เปรียบเสมือนการมีแว่นตาวิเศษที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมการลงทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  • การเปรียบเทียบข้อมูลจะง่ายขึ้นมาก เหมือนการชอปปิงออนไลน์ที่สามารถเปรียบเทียบสินค้าจากทั่วโลกได้ในที่เดียว นักลงทุนไทยสามารถเปรียบเทียบผลงานด้าน ESG ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ (ควรเปรียบเทียบบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียว) อย่างตรงไปตรงมา

 

  • ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะเพิ่มขึ้น เพราะทุกบริษัทต้องรายงานตามมาตรฐานเดียวกัน เหมือนการที่ทุกบริษัทต้องใช้มาตรฐานบัญชีเดียวกัน ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าตัวเลขที่เห็นสะท้อนความเป็นจริง

 

  • การตัดสินใจลงทุนจะแม่นยำขึ้น เพราะมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเปรียบเทียบได้ ทำให้วางแผนการลงทุนได้รัดกุมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นไทยหรือการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ

2. ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ

เมื่อน้ำท่วมครั้งใหญ่ในยุโรป พายุที่รุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ภัยแล้งในไทย ล้วนส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของนักลงทุน ซึ่งปี 2568 ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยิ่งทวีความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ดังนี้

  • ความเสี่ยงที่มองเห็นได้ชัดขึ้น เมื่อโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือฟาร์มที่ต้องเผชิญภัยแล้ง จะต้องลงทุนเพิ่มเพื่อป้องกันความเสียหาย

 

  • ต้นทุนสูงที่มองไม่เห็น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกกำลังกลายเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น แต่มีผลต่อกำไรของบริษัทมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น บริษัทในกลุ่มพลังงาน ต้องลงทุนหลักหมื่นล้านบาทในเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน หรือบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อลดการใช้พลังงาน

นักลงทุนไทยรับมืออย่างไรกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ

การลงทุนในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน เหมือนการเดินทางที่ต้องเตรียมร่มไว้ยามฝนตก นักลงทุนควรเตรียมพอร์ตลงทุนให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

 

ตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยก่อนลงทุนในบริษัทใด ลองถามตัวเองง่าย ๆ

  • โรงงานของบริษัทตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือไม่
  • ธุรกิจต้องพึ่งพาน้ำหรือทรัพยากรธรรมชาติมากแค่ไหน
  • บริษัทมีการใช้พลังงานสิ้นเปลืองหรือไม่

 

ตัวอย่าง หากลงทุนในบริษัทที่มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วม ควรดูว่าบริษัทมีแผนป้องกันอย่างไร

 

มองหาบริษัทที่เตรียมพร้อม เลือกลงทุนในบริษัทที่ตื่นตัวและเตรียมรับมือ

  • มีการทำประกันภัยความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
  • ลงทุนในเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
  • มีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน

 

กระจายความเสี่ยง

  • หุ้นพลังงานสะอาด
  • หุ้นบริษัทที่มีนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม
  • กองทุน ESG ที่เน้นการลงทุนในธุรกิจยั่งยืน

3. แนวโน้มด้านสังคมและแรงงาน

นับตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา การทำงานที่บ้าน การประชุมออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและแรงงานที่กำลังเกิดขึ้น สำหรับผลกระทบต่อการลงทุนหลังจากวิกฤติโควิด-19 ที่ควรคำนึง มีดังนี้

 

โลกของงานที่ไม่เหมือนเดิม

ปัจจุบัน พนักงานบริษัทเอกชนบางคนอาจนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน คอลเซนเตอร์อาจอยู่คนละจังหวัดกับออฟฟิศ หมายความว่าบริษัทที่ปรับตัวได้ดีที่ลงทุนในระบบทำงานทางไกลจะมีประสิทธิภาพและต้นทุนที่ดีขึ้น ขณะที่บริษัทที่ปรับตัวไม่ทัน อาจเสียทั้งพนักงานและความสามารถในการแข่งขัน

 

พนักงานยุคใหม่ไม่เหมือนเดิม

“เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานประจำ” เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อย ๆ แต่ความจริง คือ คนรุ่นใหม่แค่มองหาสมดุลชีวิตและงานที่มีความหมายมากขึ้น บริษัทที่เข้าใจเทรนด์นี้ที่ปรับระบบการทำงานให้ยืดหยุ่นและสนับสนุนการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ กลับดึงดูดคนเก่งได้มากขึ้น

 

ความเท่าเทียมที่มากกว่าคำพูด

ไม่ใช่แค่เรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น แต่รวมถึงคนพิการ ผู้สูงอายุ และคนทุกกลุ่มในสังคม ดังนั้น บริษัทที่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียม เช่น จ้างงานผู้พิการ โครงการจ้างงานผู้สูงอายุ กลับได้ทั้งภาพลักษณ์ที่ดีและพนักงานที่ทุ่มเทให้องค์กร

 

ทักษะใหม่ในโลกดิจิทัล

หากย้อนไป 5 ปีที่แล้ว คำว่า “นักพัฒนา AI” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญ Blockchain” อาจจะไม่แพร่หลายนัก แต่ปัจจุบันบริษัททั่วโลกให้ความสำคัญและลงทุนพัฒนาทักษะพนักงานอย่างจริงจัง เช่น การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยี การนำ AI เข้ามาทำงาน ซึ่งจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน มองหาบริษัทที่ใส่ใจคน

  • จับตาดูสัญญาณที่บ่งบอกความใส่ใจพนักงาน เริ่มจากสิ่งที่มองเห็นได้ง่าย ๆ เช่น อัตราการลาออกของพนักงาน ถ้าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถือเป็นสัญญาณที่ดี

 

  • มองลึกถึงการพัฒนาบุคลากร ดูว่าบริษัทลงทุนกับการพัฒนาพนักงานมากแค่ไหน บางบริษัทอาจดูเหมือนใช้เงินจำนวนมาก แต่หากมองระยะยาว นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้พนักงาน

 

  • สังเกตความหลากหลายในองค์กร บริษัทที่เปิดกว้างและให้โอกาสคนทุกกลุ่มมักจะมีมุมมองที่หลากหลาย นำไปสู่นวัตกรรมและการเติบโตที่ดีกว่า ดูได้จากสัดส่วนผู้บริหารหญิง การจ้างงานคนพิการ หรือนโยบายรับผู้สูงอายุเข้าทำงาน

 

  • ดูการปรับตัวเรื่องรูปแบบการทำงาน บริษัทที่ยืดหยุ่นเรื่องการทำงาน เช่น มีนโยบาย Work from Anywhere ชัดเจน มักจะดึงดูดคนเก่งได้ดีกว่า และมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า

4. การกำกับดูแลในยุคดิจิทัล

เคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมหุ้นบางตัวราคาปรับลดลงเพราะข่าวข้อมูลรั่วไหล หรือทำไมบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ทุ่มเงินจำนวนมากกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะโลกดิจิทัลทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่ความสะดวกสบาย แต่มาพร้อมความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้ทัน ดังนั้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม

 

อาทิ หากแฮกเกอร์เจาะระบบธนาคารได้ไม่กี่นาที ความเชื่อมั่นที่สร้างมาหลายสิบปีก็พังพินาศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าปี 2566 ธนาคารในไทยลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เฉลี่ยธนาคารละ 500 - 1,000 ล้านบาท “ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความอยู่รอด” เช่น ธนาคารกสิกรไทย จัดตั้งศูนย์ Cyber Security 24 ชั่วโมง,ธนาคารกรุงไทยได้พัฒนาระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์

 

นอกจากนี้ ข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นเรื่องสำคัญในยุคดิจิทัล ดังนั้น ในปัจจุบันข้อมูลลูกค้ามีค่าเหมือนทองคำ แต่ก็มาพร้อมความรับผิดชอบ PDPA ซึ่งไม่ใช่แค่กฎหมายให้ปฏิบัติตาม แต่เป็นโอกาสสร้างความไว้วางใจ โดยบริษัทที่จัดการข้อมูลลูกค้าได้ดี มักจะได้รับความเชื่อมั่นและมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงพบว่าบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งตื่นตัวด้วยการลงทุนกับความรับผิดชอบ PDPA เช่น ลงทุนระบบจัดการข้อมูลลูกค้าแบบใหม่ ฝึกอบรมพนักงานเรื่อง PDPA ทุกระดับ หรือพัฒนาระบบให้ลูกค้าจัดการข้อมูลตัวเองได้

 

เช่นเดียวกับ AI กับจริยธรรมก็เป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพราะ AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจ คำถาม คือ จะใช้อย่างไรให้ถูกต้องและเป็นธรรม ดังนั้น บริษัทที่ใช้ AI ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อพนักงาน ลูกค้า และสังคม ทำให้บริษัทหลายแห่งตื่นตัวกับประเด็นดังกล่าว เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว การพัฒนา AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ และการตั้งคณะกรรมการจริยธรรม AI โดยเฉพาะ เป็นต้น

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน มองหาบริษัทที่แกร่งในยุคดิจิทัล

  • ส่องงบประมาณด้านความปลอดภัย บริษัท Deloitte Thailand ให้ข้อมูลว่าบริษัทที่ลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างจริงจังมักจะทุ่มงบประมาณไม่ต่ำกว่า 3 - 5% ของรายได้ นักลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

  • ตรวจสอบประวัติการรับมือกับปัญหา ควรตรวจสอบว่าบริษัทเคยเจอปัญหาข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ และรับมืออย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ บริษัทที่โปร่งใส ยอมรับปัญหา และแก้ไขอย่างรวดเร็วมักจะน่าเชื่อถือมากกว่าบริษัทที่พยายามปกปิด

 

  • ศึกษานโยบายการใช้เทคโนโลยีใหม่ พิจารณาว่าบริษัทมีแนวทางการใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่อย่างไร มีจริยธรรมและความรับผิดชอบหรือไม่

 

  • มองหาการรับรองมาตรฐานสากล การได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับสากล เช่น ISO 27001 หรือ SOC2 เป็นเครื่องยืนยันว่าบริษัทมีระบบการจัดการที่ดี

5. การเชื่อมโยง ESG กับการประเมินมูลค่า

นักลงทุนอาจสงสัยว่าทำไมบางบริษัทถึงมีราคาหุ้นที่แพงกว่าคู่แข่งทั้ง ๆ ที่กำไรไม่แตกต่างกัน คำตอบหนึ่งอาจเป็นเพราะการจัดการด้าน ESG ที่ดีกว่า ดังนั้น ควรประเมินมูลค่าหุ้นโดยคำนึงถึง ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน

การปรับแบบจำลองการประเมินมูลค่าแบบดั้งเดิม

  • DCF แบบใหม่ ใส่ใจ ESG การประเมินมูลค่าหุ้นก็ต้องปรับให้ครอบคลุม ESG ทั้งปรับลดต้นทุนเงินทุนสำหรับบริษัทที่มี ESG ดี เพิ่มอัตราการเติบโตระยะยาวสำหรับธุรกิจที่ยั่งยืน หรือบวกมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในพลาสติกรีไซเคิล ต้นทุนเงินทุนที่ลดลงจากการใช้พลังงานสะอาด การเติบโตจากผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 

  • การคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ด้าน ESG โดยประเมินต้นทุน ESG ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ค่าใช้จ่ายในการลดคาร์บอน การปรับปรุงสวัสดิการพนักงาน การลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์

 

เครื่องมือวัดผลแบบใหม่ ไม่ใช่แค่วิเคราะห์ ROE หรือ P/E Ratio แต่ควรพิจารณาตัวชี้วัดด้าน ESG ด้วย เช่น คาร์บอนฟุตพรินต์ต่อรายได้ อัตราการลาออกของพนักงาน และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า เป็นต้น

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

การลงทุนในยุค ESG นักลงทุนต้องพิจารณาว่าบริษัทมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลอย่างไร เริ่มจากการดูคะแนน ESG จากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เช่น หุ้นในดัชนี SETESG MSCI หรือ Sustainalytics แต่อย่าหยุดแค่นั้น ต้องศึกษาแผนงานและการลงทุนด้าน ESG ว่าจริงจังแค่ไหน พิจารณาว่าผู้บริหารให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพราะคะแนน ESG ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงได้ตามการดำเนินงานของบริษัท ที่สำคัญ ต้องมองให้เห็นว่าการลงทุนด้าน ESG จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทในระยะยาวได้อย่างไร

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้ที่มาและแหล่งข้อมูลด้าน ESG ตลอดจนการนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้น ESG” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน