การเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งวิกฤติโควิด-19 ความขัดแย้งทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เอเชียกลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในแง่ของการลงทุนที่ยั่งยืน โดยหลายประเทศในเอเชียกำลังเร่งปรับตัวสู่พลังงานสะอาด พัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว และยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ
สำหรับประเทศไทยก็กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาค ขณะที่เวียดนามกำลังผงาดขึ้นเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงถือเป็นจังหวะของนักลงทุนที่จะได้รับทั้งผลตอบแทนที่ดีและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค สำหรับโอกาสการลงทุน ESG ในอาเซียนที่น่าจับตามองในปี 2568 มีดังนี้
เนื่องจากอาเซียนกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในด้านพลังงาน จากความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนในพลังงานสะอาดกลายเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุน เช่น เวียดนามมีแผนพัฒนาพลังงาน ฉบับที่ 8 (PDP8) มุ่งปรับปรุงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและตั้งแผนงานสำหรับการพัฒนาพลังงานสู่พลังงานสีเขียวเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2593
ขณะที่ไทยก็มีบริษัทจดทะเบียนกลุ่มพลังงานหลายแห่งทุ่มงบหลายหมื่นล้านบาทในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน ขณะที่อินโดนีเซียก็มีศักยภาพมหาศาลในด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยมีแผนพัฒนากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 8 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวกลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเกิดขึ้น จากผลกระทบของสงครามการค้า (จีน - สหรัฐฯ) การระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติจำนวนมากกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการกระจายความเสี่ยงด้านการผลิต และอาเซียนกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เช่น ประเทศไทยที่มีความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แรงงานมีทักษะ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนเวียดนามก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในฐานะฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ โดยดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple และ Samsung ขณะที่อินโดนีเซียกำลังพัฒนาตัวเองเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยทรัพยากรนิกเกิล (Nickel) ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะได้ลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทาน
ตลาดการเงินสีเขียวในเอเชียกำลังเติบโตอย่างน่าตื่นเต้น เปรียบเสมือนต้นไม้ที่กำลังแตกกิ่งก้านสาขา สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับทั้งนักลงทุนและผู้ระดมทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว โดยตลาดพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) ในเอเชียปี 2566 มีมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Climate Bonds Initiative ประเมินว่ามูลค่าจะเพิ่มเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 โดยมีธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นผู้สนับสนุนสำคัญ ผ่านโครงการ ASEAN Catalytic Green Finance Facility ที่ช่วยค้ำประกันและให้คำปรึกษาในการออกพันธบัตรสีเขียว
ในประเทศไทย มีสถาบันการเงินชั้นนำได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียวหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษสำหรับโครงการพลังงานสะอาด ไปจนถึงกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีความยั่งยืน สร้างทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ เช่น Sustainability-Linked Bonds ที่เชื่อมโยงอัตราดอกเบี้ยกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน กระตุ้นให้บริษัทพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG อย่างจริงจัง
การลงทุนในอาเซียนเปรียบเหมือนการเดินทางในเส้นทางที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย นักลงทุนควรวางแผนอย่างรอบคอบและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เริ่มจากการกระจายการลงทุนในหุ้น ESG ของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน แต่ละประเทศมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น เวียดนามเด่นด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ไทยแข็งแกร่งด้านยานยนต์ไฟฟ้า และอินโดนีเซียมีศักยภาพด้านแบตเตอรี่
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับตลาดอาเซียน การลงทุนผ่าน ESG ETFs อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงและการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ESG ในอาเซียนเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการการบริหารจัดการแบบมืออาชีพและไม่มีเวลาติดตามหุ้นรายตัว แต่ที่สำคัญ ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้าน ESG และประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางประเทศในอาเซียนมักมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่รวดเร็วและได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติค่อนข้างมาก
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน