ตลาดหุ้นดินแดนแห่งโอกาสที่คนจบ ม.3 หรือจบ ดร. มีโอกาสแพ้-ชนะเท่ากัน

โดย นารินทิพย์ ท่องสายชล ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
11 ธันวาคม 2567
1.626k views
TSI_Article_643_Inv_Thumbnail
Highlights
  • ตลาดหุ้นดินแดนแห่งโอกาสที่ให้ความสำคัญกับความรู้และความพยายามมากกว่าที่อื่น ๆ ดังเช่นกรณีของ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ที่เปลี่ยนจากพ่อค้าหมูยอมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

  • การลงทุนของเขาเริ่มจากการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นอย่างตั้งใจ และจะเลือกหุ้นโดยคำนึงถึง 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ หุ้นต้องอยู่ในเมกะเทรนด์ มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้บริหารมีคุณภาพ และราคาหุ้นต้องไม่แพงเกินไป

  • การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน แต่ต้องอาศัยความพยายาม ความขยัน และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ตลาดหุ้นเป็นดินแดนแห่งโอกาส ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน หรือมีวุฒิการศึกษาระดับใด หากคุณมีความรู้ ความพยายาม และความมุ่งมั่น คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้ นี่คือเรื่องราวของทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือที่ใครหลายคนเรียกเขาว่า “พี่มี่” ผู้เปลี่ยนชีวิตจากการขายส่งหมูยอมาเป็นนักลงทุน เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทำให้เขาประสบความสำเร็จ บทความนี้เสนอมุมมอง ประสบการณ์ บทเรียน และแรงบันดาลใจจากพี่มี่

จากร้านหมูยอสู่ตลาดหุ้น

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความสำเร็จในตลาดหุ้นของพี่มี่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางของเขาไม่ได้เริ่มต้นจากห้องเรียนหรูหรา หรือมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่เริ่มต้นจากการเป็นลูกน้องภรรยาที่ช่วยงานขายส่งหมูยอ และเคยว่างงานถึงหนึ่งปีจากการปิดร้านเกม นี่คือจุดเริ่มต้นของคนที่ไม่ได้มีภูมิหลังที่ได้เปรียบ จบเพียง ม.3 แต่มีความทะเยอทะยาน และความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่

 

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อพี่มี่และลูกสาวมาส่งหมูยอ ที่ห้างเอสพลานาด รัชดา ระหว่างนั้นเองเขาได้เดินผ่านห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งกำลังจัดงานสัมมนาเล็ก ๆ โดยมี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนคนดัง กำลังพูดให้ความรู้ ทันใดนั้นลูกสาวพี่มี่ตั้งคำถามมากมายหลังจากได้ยินสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ พูด

 

ด้วยความที่เขาอยากฉลาดและอยากเป็นฮีโร่ในสายตาลูก จึงเข้าไปนั่งฟัง ดร.นิเวศน์ เพื่อที่จะได้อธิบายให้ลูกฟังได้ จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับ ความมหัศจรรย์ของ ‘ผลตอบแทนทบต้น’ “ถ้ามีเงิน 10 ล้าน ทำผลตอบแทน 26% ไปเรื่อย ๆ 10 ปี เงินจะกลายเป็น 100 ล้าน” จุดประกายทำให้เขาเกิดความสนใจในการลงทุน จึงได้กลับบ้านแล้วเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างจริงจัง เขาอ่านหนังสือ ศึกษาข้อมูล และวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จนกระทั่งเกิดความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่ความมั่นใจลอย ๆ แต่เป็นความมั่นใจที่เกิดจากการศึกษาอย่างลึกซึ้ง การวางแผนอย่างรอบคอบ และการเข้าใจกลไกของตลาดหุ้น

 

“คือจริง ๆ เราเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันใช่… พอเราลงทุนไปสามครั้ง สี่ครั้ง ห้าครั้ง ความเชื่อค่อย ๆ ก่อตัว จนมีพลังมาก…” คำพูดของพี่มี่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการเรียนรู้ และการสร้างความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่อง

 

การลงทุนครั้งแรกของพี่มี่เริ่มต้นในปี 2008 ท่ามกลางวิกฤติซับไพรม์ (The Great Recession) แม้จะไม่ใช่จุดต่ำสุด แต่ก็เป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้พี่มี่เรียนรู้ และปรับตัว ความผิดพลาด และความสูญเสีย คือครูที่ดีที่สุดของเขา ทำให้เข้าใจตลาดหุ้น และธุรกิจมากขึ้น กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

เลือกหุ้น ต้องมองไกล คิดใหญ่ และเลือกถูก

กลยุทธ์การลงทุนของพี่มี่ ไม่ได้มองแค่เพียงตัวเลขทางการเงิน แต่มองถึงภาพรวม และพยายามมองไปข้างหน้า เพื่อคาดการณ์อนาคตของธุรกิจและตลาด การเลือกหุ้นของพี่มี่ จึงเน้น 4 องค์ประกอบหลัก

หุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์ หรือมีเทรนด์ในการเติบโตที่ดี

มองหาหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ หรือมีเทรนด์การเติบโตที่ชัดเจน หมายความว่า ธุรกิจนั้นมีโอกาสเติบโตในอนาคตมากกว่ามูลค่าปัจจุบัน (Market Cap) เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ที่เพิ่มขึ้นจาก 9.5 ล้านคน ในปี 2000 เป็น 40 ล้านคนในปัจจุบัน และคาดการณ์ว่า อาจเพิ่มขึ้นเป็น 70-80 ล้านคนในอนาคต การลงทุนในธุรกิจที่มีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะง่ายกว่าการแข่งขันเพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในตลาดที่มีขนาดคงที่

มีความได้เปรียบในการแข่งขัน

หุ้นที่พี่มี่สนใจต้องมี “ความได้เปรียบ” ในการแข่งขันที่ชัดเจน เช่น คุณภาพสินค้าหรือบริการที่ดีเยี่ยม หรือมีโมเดลธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ โดยเขาต้องมั่นใจอย่างน้อย 70-80% ว่าบริษัทนั้น จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้และเติบโตอย่างยั่งยืน

ผู้บริหารมีคุณภาพ

เขาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผู้บริหาร เนื่องจากการเติบโตของประชากรโลกชะลอตัวลง การขยายธุรกิจจึงไม่ง่ายเหมือนในอดีต ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเลือกผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถที่จะวางกลยุทธ์ได้ถูกต้อง และที่สำคัญต้องมีความซื่อสัตย์ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามแผนธุรกิจ โดยเขาจะตรวจสอบผู้บริหารอย่างละเอียด เพราะเชื่อว่า การทำงานร่วมกับคนดีจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

ราคาหุ้นต้องไม่แพงเกินไป

หลังจากพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อข้างต้นแล้ว พี่มี่ จะทำการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) เพื่อตรวจสอบว่า ราคาหุ้นนั้นแพงเกินไปหรือไม่ หากราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) มากเกินไป เขาจะไม่ลงทุน แม้ว่าหุ้นนั้นจะมีปัจจัยบวกอื่น ๆ ครบถ้วนก็ตาม การประเมินมูลค่าจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนอย่างคุ้มค่า

เป้าหมายการลงทุน…ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

เป้าหมายการลงทุนของพี่มี่ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์และการเติบโตของตัวเอง ในช่วงแรก เป้าหมายคือตัวเลขที่ชัดเจน ต้องการสร้างผลตอบแทนทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาอายุมากขึ้น และได้เห็นเพื่อน ๆ หลายคนประสบปัญหาสุขภาพหรือจากไปก่อนวัยอันควร จึงตระหนักว่า เงิน แม้จะสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

 

เป้าหมาย จึงเปลี่ยนจากการมุ่งเน้น “ตัวเลข” มาเป็นรักษา “ความสมดุล” ระหว่าง 3 องค์ประกอบหลัก คือ

ผลกำไร

ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่เขาต้องการ ผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว แต่เป้าหมายไม่ใช่ตัวเลขที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเขาให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย

ความปลอดภัย

ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกการลงทุน เขาจึงเน้นความปลอดภัย โดยการกระจายความเสี่ยง จากเดิมที่ถือหุ้นเพียง 3-5 ตัว เขาปรับเปลี่ยนมาถือหุ้นมากกว่า 10 ตัว เพื่อลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการพึ่งพาหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

ความสุข

นี่คือเป้าหมายสำคัญที่พี่มี่ให้ความสำคัญมากขึ้น ในช่วงหลังเขาต้องการความสุขจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ตัวเลขแต่เป็นความสุขจากการลงทุนในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและมีความสุขกับมัน เช่น การลงทุนในประเทศไทย แม้ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าการลงทุนในต่างประเทศ 2-3% แต่เขามองว่า มันช่วยสร้างงาน และสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ ซึ่งนั่นคือความสุข ที่เขาได้รับ

เป้าหมายการลงทุนของพี่มี่เหมือนการเดินทาง เป็นกระบวนการเรียนรู้และต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและประสบการณ์ แต่สิ่งสำคัญ คือ การรักษาความสมดุล ระหว่างผลกำไร ความปลอดภัย และความสุขให้ได้อย่างเหมาะสม

ตลาดหุ้นที่ที่เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยความรู้

ในโลกการเงิน หลายคนอาจมองว่า “โอกาส” ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่ความจริงแล้ว ตลาดหุ้นคือเวทีที่ความรู้เป็นปัจจัยสำคัญเหนือกว่าปัจจัยอื่นใด การตัดสินใจลงทุนได้ดี ไม่ใช่เรื่องของโชคหรือดวง แต่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ การประเมินความเสี่ยง และการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

 

“สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งที่เราทำ แต่คือสิ่งที่เราตัดสินใจ แล้วการตัดสินใจต้องใช้องค์ความรู้หลาย ๆ อย่างแวดล้อมมารวมกัน ทำให้เราเลือกถูกได้มากกว่าผิด ตั้งแต่เลือกคู่ เลือกหุ้น เลือกธุรกิจ ทุกอย่างเป็นเรื่องของความรู้ในองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราต้องสะสมแล้วก็เติบโตไปกับมัน ในตลาดหุ้นความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าที่อื่น เพราะที่อื่นคุณอาจจะใช้ความรู้บวกกับแรงกายในการทำ แต่ตลาดทุนเราใช้ความรู้เพื่อนำการตัดสินใจ” พี่มี่กล่าว

 

ยิ่งไปกว่านั้น พี่มี่มองว่า ตลาดหุ้นเป็น “เกมที่ยุติธรรม” (Fair Game) ที่เปิดโอกาสให้กับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงวุฒิการศึกษา ไม่ว่าคุณจะจบ ม.3 หรือจบ ดร. มีโอกาสแพ้-ชนะเท่า ๆ กัน อยู่ที่ว่าคุณมีความรู้มากพอหรือเปล่า มีการตัดสินใจที่เฉียบขาดพอหรือไม่ และเลือกกลยุทธ์ในการลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า

 

“ผมทำงานมาหลายอย่างเหมือนที่หลายคนทราบ ที่อื่นคนจบ ดร. กับจบ ม.3 อาจได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน แต่ในตลาดหุ้น คุณจบ ม.3 คุณชนะคนจบ ดร. ได้ ถ้าคุณคิดถูก ถ้าคุณสามารถจะตัดสินใจ หรือเข้าใจในธุรกิจนั้นได้มากกว่าคนจบ ดร. มันเป็น Fair Game สุด ๆ มันเป็น Fair Game ที่ไม่มีที่ไหนในโลกให้คุณอีกแล้ว อยู่ที่ความขยันของคุณ ความเข้าใจของคุณ ความตั้งใจของคุณ ที่อยากจะเปลี่ยนฐานะของคุณจริง ๆ ”

แนวคิดการลงทุน มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์

ตลาดหุ้น...ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ข้อคิดที่อยากแบ่งปันให้คนรุ่นใหม่

พี่มี่ แบ่งปันข้อคิดให้กับคนรุ่นใหม่ว่า การลงทุนในปัจจุบันเป็นสิ่งจำเป็น (Must-have) ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ดี (Good-to-have) เหมือนในอดีตที่ยังมีช่องทางสร้างรายได้อื่น ๆ มากมาย เช่น การทำธุรกิจ แต่ปัจจุบัน การทำธุรกิจมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และปัจจัยอื่น ๆ การลงทุนจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่สร้างความมั่งคั่งและเติบโตได้ในระยะยาว เป็นเสาหลักสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะในวัยเกษียณที่ช่องทางสร้างรายได้อื่น ๆ อาจลดลง

 

อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่า การลงทุนไม่ใช่ “ทางลัดสู่ความร่ำรวย” แต่ต้องการความพยายาม ความขยัน และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เราจะคาดหวังอะไร ควรพิจารณาว่าเราพร้อมแค่ไหนและคู่ควรกับสิ่งนั้นหรือไม่ ดังคำกล่าวของ ชาร์ลี มังเกอร์ นักลงทุนระดับตำนาน ที่ว่า

 

“ก่อนที่คุณจะเรียกร้องอะไร คุณถามตัวเองก่อนว่า คุณทำตัวคู่ควรละยังกับสิ่งที่คุณเรียกร้อง พระเจ้าไม่ใจดีขนาดจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกคน เขาก็จะมอบให้กับคนที่พยายามเพียงพอ ขยันเพียงพอเท่านั้น”

 

เขาเชื่อว่าการลงทุนเป็นอาชีพเดียวที่สามารถทำได้จนวันตาย และยิ่งอายุมาก ประสบการณ์และความรู้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงควรวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการลงทุนในระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตหลังเกษียณ แม้ว่าคุณอาจจะไม่ชอบ แต่ก็ควรมีการลงทุนไว้เป็นหนึ่ง “ขา” ที่ไว้ซัปพอร์ตชีวิตหลังเกษียณ

จากโนบิตะสู่ความสำเร็จ ตลาดหุ้น คือ โดราเอมอน

ท้ายนี้ พี่มี่เปรียบชีวิตการลงทุนของเขาเหมือนการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน โดยที่ตัวเขาเองคือโนบิตะ เป็นคนที่ไม่เอาไหน ไม่สามารถจะประสบความสำเร็จในโลกทุนนิยมได้ แต่โชคดีที่เจอโดราเอมอน ซึ่งเปรียบเหมือนตลาดหลักทรัพย์ มาคอยประคับประคองและมีเครื่องมือวิเศษให้ โนบิตะ จึงค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ เติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น

 

นี่คือเรื่องราวของคนที่ไม่ได้เก่งกาจมาตั้งแต่เกิด แต่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และประสบความสำเร็จได้ ด้วยความพยายาม ความมุ่งมั่น และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดตลาดหุ้นจึงไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งโอกาส แต่เป็นสถานที่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้ ความขยัน และความมุ่งมั่น คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าวุฒิการศึกษาหรือภูมิหลัง

 

รับชมคลิปสัมภาษณ์สุดพิเศษ พี่มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ในซีรีส์ “วันที่การลงทุนเปลี่ยนชีวิต” ได้ที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน