มหัศจรรย์ แห่ง ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) หากพิจารณาไปที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ผ่าน SET Index ในช่วงปี 10 ปีที่ผ่านมา คือ 2557 - 2566 พบว่า SET Index ติดลบ 5.5% แต่อย่างไรก็ตาม หากไปดูผ่าน SET TRI ในช่วงเวลาเดียวกันกลับมีผลตอบแทนสูงถึง 24.6% และยิ่งไปกว่านั้นหากเรารวบรวมเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผลสะสม ของทุกบริษัทใน SET Index พบว่ามีตัวเลขสูงถึง 31.8% ซึ่งเท่ากับว่าหากนักลงทุนเก็บเงินปันผลสะสมในช่วง 10 ปีดังกล่าว ผลตอบแทนยังเป็นบวกอยู่อย่างน่าพอใจ
ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
และหากไปพิจารณาในหลักการเดียวกัน แต่เปลี่ยนตัวแปรจาก SET Index เป็น SET HD พบว่า ยิ่งให้ผลชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก โดยพบว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลสะสมของหุ้นใน SET HD ช่วง 10 ปี คือ 2557 – 2566 พบว่าสูงถึง 47.2% แม้ผลตอบแทนจาก SETHD จะติดลบ แต่เมื่อบวกกลับจากเงินปันผลรับสะสมในช่วง 10 ปี ก็ยังสามารถทำกำไรได้อย่างน่าพอใจเช่นกัน ตัวเลขที่ปรากฎออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ ของการสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผล
Dividend Yield ของตลาดหุ้นไทย
ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
อีกตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจคือ Dividend Yield ของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาปัจจุบัน พบว่าให้ Dividend Yield เฉลี่ย สูงถึง 3.42% (ดูภาพด้านบน) ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน กล่าวคือสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน + อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ทั้งนี้นอกจากหุ้นปันผล จะเป็นทางเลือกที่สร้างผลตอบแทนได้ดีแล้ว หุ้นปันผลยังมีคุณสมบัติที่ดีอีกหลายประการที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนเช่น
เป็นหุ้นที่สามารถสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยนักลงทุนสามารถเลือกหุ้นที่มีความถี่ในการแจกเงินปันผลได้ตามต้องการ โดยมีให้เลือกทั้งหุ้นที่จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง, จ่ายปีละ 2 ครั้ง, จ่ายรายไตรมาส (4 ครั้งต่อปี) หรือแม้กะทั่งทุก 2 เดือน (6 ครั้งต่อปี) ในการเข้าลงทุนในหุ้นปันผล นักลงทุนสามารถกำหนดจุดเข้าลงทุน โดยกำหนดเป็น Dividend Yield เป้าหมายได้ เช่น หุ้น A จ่ายเงินปันผล 1 บาท/ หุ้น/ ปี หากนักลงทุนต้องการได้รับ Dividend Yield 10% ต่อปี ก็กำหนดจุดเข้าลงทุนไว้ที่ราคาหุ้น 10 บาท หรือ หากต้องการ Dividend Yield 5% ก็กำหนดจุดเข้าลงทุนไว้ที่ราคาหุ้น 20 บาท เป็นต้น หุ้นปันผลมีคุณสมบัติบางประการที่สามารถทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเงินเฟ้อได้ โดยในแง่มุมแรก เป็นตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า Dividend Yield เฉลี่ยของตลาดหุ้นบ้านเรา ปัจจุบันสูงกว่า เงินฝากประจำ 12 เดือน + อัตราเงินเฟ้อ ส่วนในอีกแง่มุมหนึ่ง หลายบริษัทสามารถทำกำไรเติบโตได้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งก็หมายความว่าเงินปันผลที่ได้รับตามกำไรที่เพิ่มขึ้น ก็น่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าเงินเฟ้อเช่นกัน (บนสมมุติฐานว่า อัตราการจ่ายเงินปันผล หรือ Dividend Payout Ratio คงที่) อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง คงไม่ได้มีเกณฑ์การตัดสินใจเพียงแค่ปลายทางคือ เห็นว่าตัวเลข Dividend Yield ล่าสุดอยูที่ระดับสูงเพียงอย่างเดียว ยังต้องดูองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายแง่มุม
ดูโหงวเฮ้งหุ้นปันผล
การลงทุนในหุ้นปันผล โดยหลักการแล้วถือเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งตลอดระยะเวลาการถือครองหุ้น ต้องมีหลักประกันให้เราเชื่อได้ว่า บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเมื่อต้องการจะขายออก มูลค่าหุ้นก็ไม่ควรลดต่ำลง หรือดีไปกว่านั้นต้องเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้มาซึ่งหุ้นปันผลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว จำเป็นต้องมีแนวทางการคัดกรองที่รอบครอบ ซึ่งในที่นี้เราจะมาพิจารณาถึงคุณสมบัติทางปัจจัยพื้นฐาน นอกเหนือจากการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่เราคุ้นเคยกันมาอย่างดีแล้ว ทั้งนี้องค์ประกอบสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่
ต้องไม่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ Sun Set หรือ อุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในขาลง ซึ่งมีข้อสังเกตุบางประการของอุตสาหกรรมที่อาจเข้าข่าย Sun set เช่นไม่เห็นการลงทุนใหม่ๆ ต่อเนื่องมาหลายปี ถ้าจะมีการลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ ซ่อมบำรุง ซึ่งใช้เม็ดเงินลงทุนไม่มาก อัตราการใช้กำลังการผลิตลดต่ำลงเรื่อยๆ การแข่งขันรุนแรง จนลูกค้าอยู่ในสถานะที่สามารถกำหนดราคาขายได้ มีสินค้าทดแทนใหม่ๆ เกิดขึ้นมา สินค้าประเภทเดียวกัน แต่การนำเข้าสินค้าค้ามาขาย มีราคาที่ถูกกว่า ต้องมีความสามารถที่จะจ่ายเงินปันผล และมีความตั้งใจที่จะจ่ายด้วย การที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอย่างน้อย 2 เรื่องหลัก ได้แก่ความสามารถที่จะจ่ายเงินปันผล ซึ่งหากพิจารณาเงี่อนไขที่จะจ่ายได้ทางกฎหมายก็คือ ต้องมีกำไรสะสม (งบเดี่ยว) และ กระแสเงินสดที่เพียงพอ (ดูจากเงินสดในงบแสดงฐานะการเงิน และ งบกระแสเงินสด) นอกจากนี้หากพิจารณาโครงสร้างการเงิน ก็ไม่ควรมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การที่จะจ่ายต่อเนื่องได้ บริษัทก็ต้องสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องเช่นกัน ความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผล ดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องนามธรรม แต่ก็สามารถติดตามได้จากพฤติกรรมการจ่าย เช่น การกำหนดนโยบายการจ่ายปันผล ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไร หรือไม่เกิน 40% ของกำไร ซึ่งในมุมนี้ การใช้คำว่า ไม่น้อยกว่า 40% น่าจะแสดงความตั้งใจจ่ายได้ดีกว่า หรืออาจดูจากประวัติการจ่ายเงินปันผล ซึ่งบางบริษัท เราเห็นแนวทางชัดเจนว่า จะไม่จ่ายเงินปันผล (บาท/หุ้น) ลดลงจากปีก่อนหน้า (ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นทุกปี) แม้กระทั่งบางปีอาจมีผลกำไรที่ลดลง ลักษณะอย่างนี้ก็แสดงความตั้งใจจ่ายเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบางสภาวะที่ดูเหมือนเป็นความตั้งจ่ายที่ถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์ เช่น กรณีของ REIT ที่ถูกกำหนดให้จ่ายเงินปันผล 90% ของกำไร การกระจายตัวของผู้ถือหุ้น ถือเป็นข้อสังเกตุที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า บริษัทที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นกระจุกตัว เช่น 70% ของหุ้นถือโดย 2 – 3 ครอบครัว หรือ ครอบครัวเดียว โครงสร้างการถือหุ้นลักษณะนี้มักจะมีความตั้งใจจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่า บริษัททีโครงสร้างการถือหุ้นกระจายตัว ไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ชัดเจน ระยะทางพิสูจน์ม้า ของดีจริง ต้องจ่ายได้แม้ในวิกฤติ คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของหุ้นปันผลชั้นดี คือการที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง แม้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไป ดังนั้นในการพิจารณาประวัติการจ่ายเงินปันผลนอกจากต้องดูย้อนกลับไปหลายปีแล้ว ยังควรต้องดูพฤติกรรมการจ่ายในช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆด้วย อย่างเช่นวิกฤติรอบล่าสุดกรณีการระบาดของ Covid-19 นักลงทุน ควรต้องดูทั้ง การจ่ายเงินปันผลก่อนที่ Covid-19 จะระบาด ต่อมาดูในช่วงที่เกิดการระบาด และ หลังจากที่เกิดการระบาด หากยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดี แม้จะลดลงบ้างในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ถือได้ว่าเป็นหุ้นปันผลที่มีความแข็งแกร่ง และพอวางใจได้ ในตารางด้านล่าง ได้นำเสนอหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมา 20 ปี หรือตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาด ขณะที่ปัจจุบันให้ Dividend Yield สูงกว่า 5% ทั้งนี้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราผ่านทั้ง วิกฤติ Subprime, น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และ Covid 19 ซึ่งก็ยังสามารถจ่ายการเงินปันผลได้
หุ้นปันผลสูงใน SET HG ที่จ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปี หรือตั้งแต่เข้าตลาดฯ
หมายเหตุ1 : DPS อิงตามงวดงบการเงิน หมายเหตุ2 : TISCO เข้าตลาดฯมาไม่ถึง 20 ปี ข้อมูล ณ 22 ส.ค. 67 ที่มา: SET , สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
จากแนวทางการดูโหงวเฮ้งหุ้นปันผล (ที่นอกเหนือจากดูอัตราส่วนทางการเงิน) ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเลือกหุ้นปันผล ไม่ใช่จบแค่ว่า เห็น Dividend Yield ในปีล่าสุด หรือ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สูง ก็ตัดสินใจเข้าลงทุน ทั้งนี้ยังต้องพิจารณากันอีกหลายแง่มุมดังกล่าวมาข้างต้น นอกจากนี้ในบางกรณี พบว่า Dividend Yield ที่สูง เกิดจากราคาหุ้นที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด โดยที่การทำกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่ม หรือบางช่วงเวลาลดลงด้วยซ้ำ นอกจากนี้อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ก็คือสภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้น หากไปเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำ ในเวลาที่ต้องการขายหุ้นนำเงินออกมา ก็อาจเกิดปัญหาได้เช่นกัน ซึ่งการแก้ปัญหากรณีนี้คงต้องเลือกหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่ระดับหนึ่ง อาจเกิน 1 หมื่นล้านบาท และมีหุ้น Free Float สูงกว่าเกณฑ์ที่ ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้
มุมมองในเชิงกลยุทธ์ ลงทุนหุ้นปันผล
คำกล่าวที่ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี หรือเกิดวิกฤติขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหุ้นอะไร แม้กระทั่งหุ้นปันผลก็ไม่อาจรอดพ้นจากแรงกดดันที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง เช่นกัน อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องจริง เพราะเวลาที่เราอยู่บนเรือแล้วเกิด เรือล่มขึ้นมาคงไม่มีใครไม่เปียกน้อยหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงภัย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลกระทบของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน โดยคนที่ว่ายน้ำเก่ง หรือ สวมเสื้อชูชีพ ผลกระทบหรืออันตรายที่จะตกถึงตัวก็คงไม่มาก เสมือนกับคนที่ถือหุ้นปันผล แม้ราคาหุ้นจะต้องปรับลดลงในช่วงวิกฤติ แต่ Dividend Stock ที่แข็งแรงก็ยังส่งมอบกระแสเงินสดกลับมาให้ผู้ถือหุ้นได้ใช้สอย แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว ราคาหุ้นปันผลก็สามารถกลับมา Perform ได้ไม่แพ้หุ้นอื่นๆ
คุณสมบัติประการหนึ่งของ Dividend Stock ชั้นดีที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง ผู้เขียนมองว่าส่วนหนึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับมีตราสารประเภท Fix Income แฝงอยู่ ซึ่งโดยธรรมชาติของ Fix Income ของราคาตราสาร มักจะโดดเด่นในช่วงที่ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในขาลง ดังนั้น Timing ที่ดีสำหรับการซื้อ - ขาย Dividend Stock คือ ซื้อในช่วงที่อัตราดอกเบี้ย Peak และคาดหมายว่าจะลดลง และขายในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ Bottom และถูกคาดหมายว่ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
ธุรกิจทุกประเภทโดยธรรมชาติแล้วล้วนมีวัฎจักรเป็นของตัวเอง เริ่มจากสร้างฐานธุรกิจ สู่ช่วงการเติบโต กลายเป็นธุรกิจที่อิ่มตัว และหากไม่มีการพัฒนาการสร้าง New S Curve ใหม่ๆ ก็จะเข้าสู่ช่วงวัฎจักรขาลง สำหรับการเลือกลงทุนในหุ้น นักลงทุนอาจเริ่มเข้าลงทุนตั้งแต่ช่วงเวลาผ่านการสร้างฐานธุรกิจ และเข้าสู่ช่วง Growth ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว Dividend Yield อาจไม่สูง แต่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจาก Capital Gain ที่ดี และเมื่อเวลาผ่านไปเมื่ออัตราการเติบโตเริ่มลดลง ก็จะเข้าสู่โหมดของการเป็นหุ้นปันผล ซึ่งทั้งนี้จะเป็น Dividend Stock ที่สมบูรณ์แบบได้ ควรต้องเห็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น (Dividend Payout Ratio) อย่างไรก็ตามหากเปลี่ยนแปลงเป็น Dividend Stock ไม่สำเร็จ บริษัทก็จะอยู่ในภาวะที่ขาดเสน่ห์ และเข้าสู่วัฎจักรขาลง จากที่กล่าวมาข้างต้น ต้องการชี้ให้เห็นว่า จุดเริ่มต้นในการลงทุนบางครั้งเราเริ่มลงทุนตั้งแต่บริษัทเป็น Growth Stock แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น Dividend Stock ได้เช่นกัน
การถือหุ้น Dividend Stock เพื่อการลงทุนระยะยาว ในบางช่วงเวลาที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ควรทำอย่างไร? เรื่องนี้เป็นคำถาม Classic ที่พบอยู่เป็นประจำ ในหลักการแล้วควรตรวจสอบในประเด็นต่อไปนี้
ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยพิจารณาจากผลประกอบการ และ ฐานะการเงิน โดยหากไม่เปลี่ยนแปลงในทางลบ แต่ราคาหุ้นลดลง ให้ถือเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเพิ่ม ในทางตรงข้ามหากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง อาจพิจารณาขายออก แล้วเปลี่ยนตัวลงทุน โครงสร้างพอร์ตของนักลงทุน มีหุ้นบริษัทนี้ อยู่มากน้อยแค่ไหน หากมีอยู่ยังไม่มาก และมีอยู่ไม่ถึงเป้าหมายที่อยากจะถือ กรณีนี้สามารถลงทุนเพิ่มได้ (ต้องผ่านเกณฑ์ในข้อแรกที่ต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานแล้ว) แต่หากมีมากพอแล้ว ควรถือเท่าที่มี สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยหากมีสภาพคล่องในการซื้อขายน้อยลง อาจต้องพิจารณาว่า หากนักลงทุนต้องการขายหุ้นออก สามารถดำเนินการได้โดยไม่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปอีก กล่าวคือจำนวนหุ้นที่ถือต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้น
กอง REIT ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับการลงทุนใน Dividend Stock เนื่องจากหลายกองฯ สามารถสร้าง Dividend Yield ในระดับสูง (มากกว่า 5% เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 3.42%) และ ส่วนใหญ่จ่ายเงินปันผลเป็นรายไตรมาส ทั้งนี้กลไกของ REIT เป็นการระดมเงินทุนมาจากผู้ถือกองทรัสต์ แล้วนำเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) โดยอาจเป็นการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิการเช่า โดยกองทรัสต์ก็จะได้รับรายได้จากการนำอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ไปหาประโยชน์ซึ่งโดยหลักการเป็นค่าเช่า หัวใจหลักในการคัดกรอง REIT เพื่อการลงทุน คือการต้องวิเคราะห์ที่ตัว Investment Property ที่เป็นตัวสร้างรายได้ โดยควรเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอ โดยควรเป็น REIT ที่มีขนาดใหญ่พอควร เช่น Market Cap เกิน 5 พันล้านบาท โดยราคาที่เข้าซื้อ ไม่ควรสูงกว่า NAV (Net Asset Value) และเป็นราคาที่คำนวนกลับมาเป็น Dividend Yield ตามเป้าหมายที่ต้องการ
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
หุ้นปันผล
Dividend Stock
ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน