หากตั้งคำถามว่าจะเลือกกู้เงินเพื่อซื้อบ้านจากธนาคารไหน คำตอบส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด เช่นเดียวกับการลงทุนหุ้น นักลงทุนจะเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นผันผวน และเทคนิคที่น่าสนใจสำหรับการเลือกหุ้นเพื่อให้ได้คำตอบดังกล่าว คือ การนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance : ESG) มาช่วยประเมินความเสี่ยงหุ้น โดยจากการศึกษาของ Morgan Stanley Capital International (2023) พบว่า บริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักจะมีความผันผวนของราคาหุ้น (Beta) ต่ำกว่าบริษัททั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกันถึง 15 - 20%
ปัจจัยหลัก ๆ มาจากบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG จะมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และมีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ นักลงทุนจึงมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า
ในทางปฏิบัติ พบว่าบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงจะได้รับส่วนชดเชยความเสี่ยง (Risk Premium) ในระดับที่ต่ำ ในขณะที่บริษัทที่มีคะแนน ESG ต่ำจะถูกเรียกร้องส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากมีการระดมทุน บริษัทที่มี ESG ดีจะมีต้นทุนต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับนักลงทุน การพิจารณาคะแนน ESG จึงเป็นเหมือนเครื่องกรองความเสี่ยง ที่ช่วยคัดเลือกหุ้นที่ดี มีความทนทานในช่วงตลาดผันผวนได้ดี ดังนั้น ในยุคที่กำลังเผชิญความท้าทาย การลงทุนในบริษัทที่มี ESG ดีจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
พูดง่าย ๆ การนำปัจจัย ESG เพื่อประเมินหุ้นจะเป็นเกราะป้องกันความผันผวนได้ จากบทวิเคราะห์ของ Morgan Stanley ปี 2023 พบว่าในช่วงตลาดผันผวน หุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ESG (ESG Leaders) มีความผันผวนของราคาต่ำกว่าตลาดโดยรวมถึง 20 - 25% ในขณะที่หุ้นของบริษัทที่ได้คะแนน ESG ต่ำ จะมีความผันผวนสูงกว่าตลาดถึง 30 - 40% ซึ่งเกราะป้องกันที่ช่วยลดความผันผวน มีดังนี้
สำหรับนักลงทุน การเลือกหุ้นที่มี ESG ดีจึงเหมือนการซื้อประกันความผันผวน แม้ราคาอาจจะแพงกว่าหุ้นทั่วไป แต่เมื่อตลาดผันผวน ก็จะถือหุ้นสบายใจ เพราะรู้ว่าได้ลงทุนในบริษัทที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
เทคนิคสร้างพอร์ตลงทุนด้วยหุ้น ESG
การสร้างพอร์ตลงทุนด้วยหุ้น ESG ควรมีหลักการที่ชัดเจน โดย BlackRock บริษัทจัดการลงทุนระดับโลก แนะนำสูตรการจัดพอร์ต ด้วยการแบ่งเงินลงทุนแบบ 50 – 30 – 20 (50% ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ESG ที่มีคะแนนสูงสุด, 30% กระจายไปในหุ้น ESG ในตลาดประเทศกำลังพัฒนา และ 20% ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนหุ้น ESG) หลังจากนั้นก็ดูแลพอร์ตอย่างใกล้ชิด
การลงทุนในหุ้นที่มีคะแนน ESG สูง ไม่เพียงช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ยังเป็นเกราะป้องกันในช่วงตลาดผันผวน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าบริษัทที่มี ESG ดีมักมีความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ มีความเสี่ยงต่ำกว่า และฟื้นตัวจากวิกฤติได้เร็ว ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้น ESG จึงไม่เพียงได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ยังได้มีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ดีขึ้น เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่ให้ทั้งร่มเงาและผลผลิตที่ยั่งยืน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน