เลือกหุ้น ESG เกราะป้องกันความผันผวนของตลาดหุ้น

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2 Min Read
20 พฤศจิกายน 2567
1.999k views
TSI_Article_636_Inv_Thumbnail
Highlights
  • การใช้ปัจจัย ESG ช่วยในการประเมินความเสี่ยงของหุ้น โดยบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักมีความผันผวนของราคาหุ้นต่ำกว่าบริษัททั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกัน

  • บริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG มักมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้มีส่วนได้เสีย และมีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทำให้นักลงทุนมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า

  • การลงทุนในหุ้นที่มีคะแนน ESG สูงช่วยลดความผันผวนในช่วงตลาดผันผวน และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมทั้งมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ดีขึ้น

หากตั้งคำถามว่าจะเลือกกู้เงินเพื่อซื้อบ้านจากธนาคารไหน คำตอบส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด เช่นเดียวกับการลงทุนหุ้น นักลงทุนจะเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นผันผวน และเทคนิคที่น่าสนใจสำหรับการเลือกหุ้นเพื่อให้ได้คำตอบดังกล่าว คือ การนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance : ESG) มาช่วยประเมินความเสี่ยงหุ้น โดยจากการศึกษาของ Morgan Stanley Capital International (2023) พบว่า บริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักจะมีความผันผวนของราคาหุ้น (Beta) ต่ำกว่าบริษัททั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกันถึง 15 - 20%

 

ตัวอย่าง

  • บริษัท Microsoft Corporation (MSFT) ปี 2023 ได้คะแนน ESG จาก MSCI ESG Ratings ระดับ AAA (สูงสุด) โดยค่าเบต้า (Beta) ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.15 ขณะที่ค่าเบต้าของบริษัท Microsoft อยู่ที่ระดับ 0.92 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 20%

  • บริษัท Unilever (ULVR) ปี 2023 ได้คะแนน ESG อยู่ในกลุ่มผู้นำ (Leader) จาก Sustainalytics ESG Risk Ratings โดยค่าเบต้าของอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.85 ขณะที่ค่าเบต้าของบริษัท Unilever อยู่ที่ระดับ 0.70 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 17.6%

 

ปัจจัยหลัก ๆ มาจากบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG จะมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และมีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ นักลงทุนจึงมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า

 

ในทางปฏิบัติ พบว่าบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงจะได้รับส่วนชดเชยความเสี่ยง (Risk Premium) ในระดับที่ต่ำ ในขณะที่บริษัทที่มีคะแนน ESG ต่ำจะถูกเรียกร้องส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากมีการระดมทุน บริษัทที่มี ESG ดีจะมีต้นทุนต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

 

สำหรับนักลงทุน การพิจารณาคะแนน ESG จึงเป็นเหมือนเครื่องกรองความเสี่ยง ที่ช่วยคัดเลือกหุ้นที่ดี มีความทนทานในช่วงตลาดผันผวนได้ดี ดังนั้น ในยุคที่กำลังเผชิญความท้าทาย การลงทุนในบริษัทที่มี ESG ดีจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

 

พูดง่าย ๆ การนำปัจจัย ESG เพื่อประเมินหุ้นจะเป็นเกราะป้องกันความผันผวนได้ จากบทวิเคราะห์ของ Morgan Stanley ปี 2023 พบว่าในช่วงตลาดผันผวน หุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ESG (ESG Leaders) มีความผันผวนของราคาต่ำกว่าตลาดโดยรวมถึง 20 - 25% ในขณะที่หุ้นของบริษัทที่ได้คะแนน ESG ต่ำ จะมีความผันผวนสูงกว่าตลาดถึง 30 - 40% ซึ่งเกราะป้องกันที่ช่วยลดความผันผวน มีดังนี้

  • การบริหารความเสี่ยงที่ดี เหมือนมีระบบเรดาร์ที่คอยเตือนภัยล่วงหน้า บริษัทเหล่านี้มักจะมองเห็นและรับมือกับความเสี่ยงได้เร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือบรรษัทภิบาล
  • ฐานลูกค้าที่มั่นคง คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสังคม ทำให้บริษัทที่มี ESG ดีมีฐานลูกค้าที่มั่นคง แม้เศรษฐกิจจะผันผวน ยอดขายก็ไม่ได้ปรับลดลงมากนัก
  • ต้นทุนการเงินที่ต่ำ สถาบันการเงินและนักลงทุนมองว่าบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำ จึงคิดดอกเบี้ยถูกกว่า ทำให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง สามารถรับมือกับวิกฤติได้ดี

 

สำหรับนักลงทุน การเลือกหุ้นที่มี ESG ดีจึงเหมือนการซื้อประกันความผันผวน แม้ราคาอาจจะแพงกว่าหุ้นทั่วไป แต่เมื่อตลาดผันผวน ก็จะถือหุ้นสบายใจ เพราะรู้ว่าได้ลงทุนในบริษัทที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

 

เทคนิคสร้างพอร์ตลงทุนด้วยหุ้น ESG

การสร้างพอร์ตลงทุนด้วยหุ้น ESG ควรมีหลักการที่ชัดเจน โดย BlackRock บริษัทจัดการลงทุนระดับโลก แนะนำสูตรการจัดพอร์ต ด้วยการแบ่งเงินลงทุนแบบ 50 – 30 – 20 (50% ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ESG ที่มีคะแนนสูงสุด, 30% กระจายไปในหุ้น ESG ในตลาดประเทศกำลังพัฒนา และ 20% ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนหุ้น ESG) หลังจากนั้นก็ดูแลพอร์ตอย่างใกล้ชิด

  • ตรวจสอบทุกไตรมาส ดูว่าคะแนน ESG ของแต่ละบริษัทยังคงดีอยู่หรือไม่
  • จับตาการเปลี่ยนแปลง สังเกตว่าบริษัทมีการประกาศนโยบายใหม่ ๆ ด้าน ESG หรือไม่ เช่น เป้าหมายลดคาร์บอน หรือนโยบายด้านแรงงาน
  • ปรับสมดุล หากบริษัทไหนมีคะแนน ESG ลดลง อาจต้องลดน้ำหนักการลงทุน หรือเปลี่ยนไปลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มดีกว่า

 

การลงทุนในหุ้นที่มีคะแนน ESG สูง ไม่เพียงช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ยังเป็นเกราะป้องกันในช่วงตลาดผันผวน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าบริษัทที่มี ESG ดีมักมีความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ มีความเสี่ยงต่ำกว่า และฟื้นตัวจากวิกฤติได้เร็ว ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้น ESG จึงไม่เพียงได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ยังได้มีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ดีขึ้น เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่ให้ทั้งร่มเงาและผลผลิตที่ยั่งยืน

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจ ทำความรู้จักผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ดัชนีชี้วัดความยั่งยืน กองทุนรวม และตราสารหนี้ ที่มีให้ซื้อขายในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน สามารถดูข้อมูลได้ที่ e-Learning หลักสูตร “รู้จัก ESG Products สักนิด ก่อนคิดลงทุน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน