ความโปร่งใส กุญแจสำคัญสู่ผลตอบแทนที่ยั่งยืน

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
14 พฤศจิกายน 2567
993 views
TSI_Article_634_Inv_Thumbnail
Highlights
  • ความโปร่งใสของบริษัทไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังรวมถึงการสื่อสารที่ครบถ้วนและชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียและลดต้นทุนทางการเงิน

  • นักลงทุนสามารถใช้ความโปร่งใสเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้น โดยมุ่งเน้นการคัดกรองเบื้องต้น เช่น การตรวจสอบ CG Rating รวมถึงการวิเคราะห์เชิงลึกในรายงานประจำปีและพฤติกรรมของผู้บริหาร เป็นต้น

  • การมีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความโปร่งใสส่งผลให้บริษัทสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ผลการศึกษาของ McKinsey ระบุว่าบริษัทที่โปร่งใสมักมี ROE สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมและความผันผวนของราคาหุ้นที่ต่ำลง นักลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน

ความโปร่งใสที่แท้จริงไม่ใช่แค่การเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด แต่เป็นการสื่อสารข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจอย่างครบถ้วน ตรงไปตรงมา และทันต่อเหตุการณ์ โดยข้อมูลต้องเข้าถึงได้ง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับนักลงทุน

 

จากการศึกษาของ International Finance Corporation (IFC) พบว่าบริษัทที่มีคะแนนความโปร่งใสสูงมักจะมีการเปิดเผยข้อมูลครบถ้วนทั้งข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลการดำเนินงาน ข้อมูลความเสี่ยง ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ

 

ที่น่าสนใจคือ บริษัทดังกล่าวมักมีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย เช่น เว็บไซต์ (ข้อมูลนักลงทุนสัมพันธ์) ที่อัปเดตสม่ำเสมอ การจัดประชุมนักวิเคราะห์เป็นประจำ และการตอบคำถามผู้ถือหุ้นผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง พบว่าบริษัทที่มีความโปร่งใสสูงมักมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง ผู้บริหารพร้อมรับฟังความคิดเห็นและคำวิจารณ์ และมีความกล้าที่จะเปิดเผยทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทมักกังวลว่าการเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปจะทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง แต่จากข้อมูลของ Harvard Business Review กลับพบว่าความโปร่งใสสร้างประโยชน์มากกว่าที่คิด

 

ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง

เมื่อบริษัทเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน นักลงทุนและสถาบันการเงินสามารถประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง เช่น บริษัท Nike ได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน 0.5% หลังจากเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หรือทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพขึ้น เช่น หุ้น Microsoft มีความผันผวนของราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 25% หลังเปลี่ยนนโยบายเป็นการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก

 

ความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสีย

ความโปร่งใสสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทุกฝ่าย เช่น พนักงานทำงานอย่างมั่นใจ เพราะเข้าใจทิศทางและเป้าหมายองค์กรชัดเจน เห็นโอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพ มั่นใจในความมั่นคงของบริษัท เช่น บริษัท Google มีอัตราการลาออกของพนักงาน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 30% จากนโยบายการสื่อสารภายในองค์กรที่โปร่งใส

 

นอกจากนี้ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าและบริการ เพราะเข้าใจที่มาของราคาและคุณภาพ มั่นใจในมาตรฐานการผลิตและเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เช่น บริษัท Apple ได้รับคะแนนความพึงพอใจลูกค้าสูงสุดในอุตสาหกรรม หลังเปิดเผยข้อมูลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอย่างละเอียด ที่น่าสนใจไปกว่านั้นทำให้คู่ค้ายินดีร่วมธุรกิจระยะยาว เพราะเข้าใจนโยบายการจ่ายเงิน มั่นใจในความมั่นคงทางการเงิน และเห็นโอกาสการเติบโตร่วมกัน เช่น บริษัท Toyota ได้รับส่วนลดจากซัพพลายเออร์เฉลี่ย 5% มากกว่าคู่แข่ง จากนโยบายการเปิดเผยแผนการผลิตและการสั่งซื้อล่วงหน้าที่ชัดเจน



กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ความโปร่งใสเป็นเกณฑ์

1. การคัดกรองเบื้องต้น

การตรวจสอบ CG Rating

  • เลือกเฉพาะบริษัทที่ได้ CG Rating ระดับดี (เช่น 4 ดาว) ขึ้นไป
  • พิจารณาแนวโน้มของ CG Rating ย้อนหลัง 3 ปี
  • ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีการพัฒนา CG Rating อย่างต่อเนื่อง

 

ประวัติการถูกลงโทษ

  • ตรวจสอบประวัติการถูกตักเตือนหรือลงโทษจากสำนักงาน ก.ล.ต.
  • พิจารณาความรุนแรงของการกระทำผิด
  • ดูการแก้ไขและป้องกันการกระทำผิดซ้ำ

 

2. การวิเคราะห์เชิงลึก

การศึกษารายงานประจำปี

  • วิเคราะห์ความครบถ้วนของข้อมูลสำคัญ
  • เปรียบเทียบคุณภาพการรายงานกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ประเมินความสอดคล้องของข้อมูลในแต่ละปี

 

การติดตามการเปิดเผยข้อมูล

  • ตรวจสอบความถี่และคุณภาพของข้อมูล
  • ประเมินการตอบคำถามนักลงทุน
  • สังเกตความสม่ำเสมอในการสื่อสาร

 

พฤติกรรมผู้บริหาร

  • สังเกตการตอบคำถามในที่ประชุม
  • ประเมินความตรงไปตรงมาในการสื่อสาร
  • ดูการรับมือกับสถานการณ์วิกฤติ

 

3. การติดตามต่อเนื่อง

การประชุมผู้ถือหุ้น

  • สังเกตการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นซักถาม
  • ประเมินคุณภาพคำตอบของผู้บริหาร
  • ติดตามการดำเนินการตามมติที่ประชุม

การติดตามข่าวสาร

  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ
  • ดูการรายงานความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ

การประเมินคุณภาพ

  • ทบทวนคุณภาพการเปิดเผยข้อมูลทุกไตรมาส
  • เปรียบเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรม
  • ปรับพอร์ตลงทุนตามผลการประเมิน

ผลกระทบต่อราคาหุ้น

บริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาการเปิดเผยข้อมูลมักได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า จากการศึกษาของ McKinsey ในปี 2021 พบว่าบริษัทที่มีความโปร่งใสสูงมีผลงานโดดเด่น ดังนี้

  • ผลตอบแทนดึงดูด

บริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาการเปิดเผยข้อมูลจะมีอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมประมาณ 15% เช่น บริษัท Unilever ที่เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างละเอียด ส่งผลให้ ROE เพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 22% ในเวลาเพียง 3 ปี

 

  • ความผันผวนที่ต่ำ

ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำสามารถสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนระยะยาว เช่น กรณีศึกษาของบริษัท Microsoft หลังปรับนโยบายการเปิดเผยข้อมูลในปี 2014 พบว่า P/E Ratio เพิ่มจาก 15 เท่าเป็น 25 เท่า สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ยอมจ่ายแพงขึ้นเพราะเข้าใจโอกาสเติบโตในอนาคต และส่วนต่าง P/E Ratio ที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นกว่า 500 พันล้านดอลลาร์

 

เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่มีสัดส่วนเพิ่มจาก 55% เป็น 75% สะท้อนความเชื่อมั่นและการถือครองระยะยาวช่วยลดความผันผวนของราคา รวมถึงจำนวนนักวิเคราะห์ติดตามเพิ่มขึ้น 40% ที่น่าสนใจ คือ ข้อมูลที่ครบถ้วนช่วยให้นักวิเคราะห์ประเมินมูลค่าได้ดีขึ้นและรายงานวิเคราะห์มีความแม่นยำมากขึ้น

 

ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ไม่ใช่เพียงเรื่องของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่ดี บริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มักจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว นักลงทุนจึงควรใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกหุ้น


สำหรับนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจการลงทุนอย่างยั่งยืน และต้องการสร้างโอกาสการลงทุนในหุ้นยั่งยืน หรือ หุ้น ESG สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุนหุ้น ESG ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน