จีนกระตุ้นเศรษฐกิจจัมโบ้ เสริมทางเลือกลงทุนด้วย DR

โดย ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ – อนุพันธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
12 พฤศจิกายน 2567
3.196k views
TSI_Article_632_Inv_Thumbnail
Highlights
  • รัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวเกิน 5% และกระตุ้นตลาดหุ้นที่ปรับตัวลง

  • มาตรการทางการเงินประกอบด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยและอัตรากันสำรอง (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ขณะที่มาตรการทางการคลังรวมถึงการออกพันธบัตรและการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

  • สำหรับการลงทุนในหุ้นจีน นอกจากกองทุนรวมและการลงทุนโดยตรง นักลงทุนไทยมีทางเลือกที่สะดวก ด้วยการลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipt) ซึ่งสามารถซื้อขายได้แบบ Real-time ผ่านแอปพลิเคชัน เหมือนการซื้อขายหุ้นไทย

ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่จัมโบ้กว่าในอดีต หรือที่เรียกว่า Pan’s Package ซึ่งตั้งตามชื่อ Pan Gongsheng ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน (PBOC) โดยครอบคลุมทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนให้สามารถขยายตัวในอัตราที่มากกว่า 5% ได้ รวมถึงกระตุ้นตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงสวนทางตลาดหุ้นโลกมาหลายปี (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ คู่แข่งสำคัญที่ทำจุดสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง)

 

ทั้งนี้ เป็นที่แน่นอนว่ามาตรการดังกล่าวเป็นที่เฝ้ารอของนักลงทุนหุ้นจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลังราคาหุ้นปรับตัวลงมานาน จนได้ผงกหัวขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น แต่เข้าสู่ช่วงพักฐานในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คำถามคือหุ้นจีนจะสามารถกลับเป็นขาขึ้นอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รวมถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีจะส่งผลกระทบต่อหุ้นจีนเพียงใด ก่อนที่จะไปตอบคำถามนั้น ลองไปทบทวนมาตรการดังกล่าวของจีนว่ามีอะไรบ้างครับ

 

ในด้านของนโยบายการเงินนั้น อธิบายให้ง่ายคือ PBOC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในหลายประเภท เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมและภาระหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน ได้สนับสนุนเงินให้รัฐบาลท้องถิ่นในการซื้อบ้านที่ขายไม่ออกมาปรับปรุงเป็นบ้านเพื่อสังคม เพื่อช่วยเหลือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ระบายสต๊อกบ้านที่ขายไม่ออกได้ อีกทั้ง ได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกในอนาคต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนว่าจะยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น PBOC ได้ปรับลดอัตรากันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยเงินกู้ได้มากขึ้นให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง

 

ส่วนด้านนโยบายการคลัง รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเน้นย้ำว่ายังสามารถที่จะออกพันธบัตรและเพิ่มการขาดดุลการคลังในอนาคตได้อีก โดยเฉพาะในส่วนของรัฐบาลท้องถิ่นที่ได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการ Debt Swap เพื่อลดต้นทุนและภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลท้องถิ่นที่มีหนี้สูง นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังประกาศมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 1.5 แสนล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และแจกเงินผ่าน e-Coupon กว่า 500 ล้านหยวนในการกระตุ้นการบริโภคผ่านส่วนลดค่าอาหาร ค่าที่พักโรงแรม ตั๋วภาพยนตร์และกีฬา เห็นได้ว่าจัดหนักจัดเต็มจริง ๆ ครับ

 

นอกจากมาตรการหลักทั้ง 2 ด้านที่กล่าวข้างต้นแล้ว ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC ยังอัดฉีดสภาพคล่องผ่าน Swap Program มูลค่าราว 5 แสนล้านหยวน โดยให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และบริษัทประกัน สามารถเข้าถึงเงินทุนดังกล่าวเพื่อนำไปซื้อหุ้นได้ และมีการจัดตั้ง Re-Lending Program อีกราว 3 แสนล้านหยวน เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในการนำเงินทุนดังกล่าวไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งชัดเจนว่าเป็นมาตรการที่ออกมาเพื่อพยุงตลาดหุ้นอย่างเข้มข้น

 

อย่างไรก็ดี การที่หุ้นจีนปรับตัวขึ้นมามากในช่วงเวลาอันสั้น ย่อมไม่แปลกที่จะมีการพักฐานหรือเคลื่อนไหวไซต์เวย์ (Sideways) ได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่คำถามสำคัญคือมูลค่าตลาดหุ้นจีนแพงแล้วหรือยัง นักลงทุนอาจพิจารณาทางหนึ่งได้จาก P/E ของตลาดหุ้น ซึ่งหนึ่งในตัวแทนของตลาดหุ้นจีนคือ ดัชนี CSI300 ที่ ณ ปัจจุบันมี P/E อยู่ราว 13 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ในขณะที่ถ้าพิจารณาดัชนีหุ้นเทคโนโลยีของจีนที่จดในตลาดหุ้นฮ่องกงผ่านดัชนี Hang Seng Tech ปัจจุบันมี P/E อยู่ที่ราว 16 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 25 เท่า อยู่พอสมควร จึงอาจพอสรุปได้ว่าหุ้นจีนในภาพรวมนั้นยังไม่แพงแต่ก็ไม่ถือว่าถูก ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีจีนในภาพรวมนั้นถือว่ามูลค่ายังถูกอยู่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต

 

อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลให้หุ้นจีนยิ่งผันผวนอย่างรุนแรงได้ เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดี เพราะอาจมีความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน หรือทำสงครามการค้าอย่างเข้มข้นอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงอาจไม่ต้องรีบในการเข้าลงทุน แต่ควรใช้เวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ในการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการของหุ้นจีนตัวที่สนใจ (ไม่ว่าจะซื้อขายในตลาดหุ้นจีนหรือตลาดหุ้นฮ่องกง) เพราะภาพใหญ่ของจีนนั้นถือว่าดูดีขึ้นพอสมควร จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอย่างมากผ่านมาตรการกระตุ้นที่ประกาศออกมา

 

ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นจีนมีหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะผ่านกองทุนรวม หรือลงทุนตรงในจีนและฮ่องกง แต่อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย คือลงทุนผ่านตราสารที่ชื่อว่า DR หรือ Depositary Receipt ซึ่งเป็นตราสารที่ออกแบบมาให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศได้ โดยผู้ออก DR ไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาท ซึ่งสามารถซื้อขายได้สะดวกแบบ Real-time ผ่านแอปพลิเคชัน Streaming เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นไทย โดยมีให้เลือกหลากหลายทั้งที่เป็นหุ้นจีนรายตัวและที่เป็น ETF นักลงทุนสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูล DR แต่ละตัวได้ที่ https://www.set.or.th/th/market/product/dr/overview

 

ซึ่งการซื้อขายหุ้นจีน ผ่าน DR มีข้อดีคือ

  1. ใช้บัญชีเดียวกันกับการซื้อขายหุ้นไทย
  2. ซื้อขายตามเวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นไทย แถมยังซื้อขายเป็นเงินบาท
  3. ได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง เช่น เงินปันผล
  4. ได้รับการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น เหมือนการซื้อขายหุ้นไทยทั่วไป ไม่เสียภาษีจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
Table of example Chinese Depositary Receipts (DRs) and Exchange-Traded Funds (ETFs) traded on the Stock Exchange of Thailand.

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนใน DR กลไกการเคลื่อนไหวของราคา ตลอดจนวิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์การลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ 
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน