ภาพรวมการลงทุนในปี 2564 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน จากประเทศมหาอำนาจที่ยังไม่มีความแน่ชัด อย่างไรก็ตาม โลกของการลงทุนก็ไม่ได้หยุดชะงัก สะท้อนได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในปีที่ผ่านมารวมถึงตลาดหุ้นไทย
แม้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมากังวลอีกครั้ง แต่ข้อมูลจากงานวิจัยหลายแห่งพบว่า สายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า จึงไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจมากนัก
สถานการณ์การลงทุนในปีเสือ
แม้ว่านักลงทุนจะคลายความกังวลต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน แต่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นและอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด
การประชุม FOMC เมื่อวันที่ 25 – 26 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา Fed ยังคงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0 - 0.25% และได้ส่งสัญญาณอาจเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ อีกทั้ง ยังเห็นพ้องต้องกันในการเดินหน้าลดการถือครองสินทรัพย์ครั้งใหญ่ ด้วยการจำกัดตัวเลขเงินต้นของพันธบัตรที่กำลังจะหมดอายุและจะต่ออายุในแต่ละเดือน รวมถึงยังคงแผนการปรับลดวงเงิน QE ตามเดิม คือที่จำนวน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยจะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2565 พร้อมกับจะเริ่มต้นปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกรอบเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ ไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลที่ขยับขึ้นไปเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อไหร่ แต่คาดว่าจะเริ่มลดขนาดงบดุล ภายหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนของต่างชาติและเกิดความผันผวนในตลาดทุนและตลาดการเงินโลก แต่ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน โดยเชื่อว่า Fed จะดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง และคาดว่าธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมต่อไปอีก 1 ปี เพื่อประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
มีคำถามตามมาว่า ในปีนี้นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับอะไรเป็นอันดับต้น ๆ คำตอบคงหนีไม่พ้นเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน (Diversification) ในหลายภูมิภาค และที่ลืมไม่ได้ คือ การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) หรือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนที่ยังไม่ชำนาญในการคัดเลือกสินทรัพย์เป็นรายตัว การลงทุนผ่านกองทุนรวม ถือเป็นตัวเลือกในการลงทุนที่ดี เพราะมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายทั้งในและต่างประเทศ โดยสามารถเลือกลงทุนให้สอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลกได้
โอกาสลงทุนตามเทรนด์โลก
การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เชื่อว่าจะมีการเติบโตสูงตามทิศทางกระแสหลักของโลก (Megatrend) เป็นคำฮิตติดหูที่มีการพูดถึงจากนักลงทุน เพราะหากเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับกระแสหลักของโลกย่อมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าประทับใจ โดยปีนี้หากสนใจลงทุนในกองทุนรวมก็สามารถเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนตามกระแสหลักของโลก ดังนี้
กองทุนรวม ESG
ปัจจุบันทั่วโลกตื่นตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้แต่หน่วยงานภาครัฐก็เริ่มตระหนักในประเด็นนี้ หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวน 7.5 แสนล้านยูโร ของสหภาพยุโรป เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืน
ข้อมูลจาก Morningstar พบว่าในสหรัฐอเมริกา กองทุนรวมประเภท ESG ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก มีเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้ประมาณ 71,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และข้อมูลจาก Dow Jones Sustainability World Index (DJSI) ซึ่งเป็นดัชนีด้านความยั่งยืนระดับโลก พบว่า ผลตอบแทนรวมสะสมย้อนหลัง 3 ปี (ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2562 – 28 มกราคม 2565) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 14.04% ต่อปี ขณะที่ผลตอบแทนรวมสะสมย้อนหลัง 5 ปี (ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2560 - 28 มกราคม 2565) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.84% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนที่เน้นความยั่งยืนอาจนำมาซึ่งโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ Healthcare
กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare) ไม่ได้มีแค่ธุรกิจโรงพยาบาลเท่านั้น แต่มีธุรกิจอื่นอีกมากมาย เช่น ผลิตและจำหน่ายยา บริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ บริการทางการแพทย์ เป็นต้น แต่จากการที่วิทยาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Healthcare มีความหลากหลายขึ้น นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น Digital Health, Biotechnology เป็นต้น
นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรโลกเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นและมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น ความจำเป็นในการพึ่งพาบริการและนวัตกรรมทางการแพทย์จึงมีมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ Healthcare จึงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้ว
จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น จึงประเมินว่าเศรษฐกิจประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป มีโอกาสฟื้นตัวหลัง Fed ดำเนินนโยบายดังกล่าว ขณะเดียวกันยังมีเม็ดเงินส่วนเพิ่มจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้สินทรัพย์การลงทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง ดังนั้น กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในปีนี้
คำแนะนำในการจัดพอร์ตลงทุน
สำหรับการลงทุนในปีนี้ ตลาดหุ้นยังคงเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น นักลงทุนควรมีหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นติดไว้ในพอร์ตลงทุนตลอดเวลา แต่ควรคัดเลือกและกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ที่สำคัญเมื่อลงทุนแล้วต้องติดตามข้อมูล ข่าวสาร ด้านการลงทุนอยู่เสมอ และไม่ลืมที่จะปรับสมดุลของสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนตามแผนการลงทุน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการเลือกกองทุนรวม พร้อมสร้างและบริหารพอร์ตกองทุนรวมด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ห้องเรียนกองทุนรวม The Series” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือนักลงทุนที่สนใจเรียนรู้หลักการวิเคราะห์ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน และแนวทางการปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับตนเองและสถานการณ์ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Portfolio Rebalancing” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่