“สินค้าคงเหลือ” หรือเรียกกันติดปากว่า “สต็อกสินค้า” เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญในงบการเงินที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยทั่วไปสินค้าคงเหลือมักเติบโตควบคู่กับยอดขาย แต่หากพบว่าสูงผิดปกติโดยไม่สัมพันธ์กับยอดขาย ควรสืบหาสาเหตุ ซึ่งมักเกิดจากการคาดการณ์ยอดขายที่สูงเกินจริง ส่งผลให้สต็อกสินค้ามากเกินความจำเป็น โดยประสิทธิภาพในการบริหารสต็อกวัดได้จาก “อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover Ratio)”
อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ ใช้วัดความสามารถในการขายสินค้าคงเหลือ โดยวัดจากการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อที่บริษัทจะได้คำนวณว่าต้องใช้เวลากี่วันในการขายสินค้า รวมทั้งช่วยให้บริษัทสามารถตัดสินใจในเรื่องราคา การผลิต การตลาด และการซื้อสินค้าคงคลังในรอบต่อไปได้ดีขึ้น
ยิ่งมีค่าที่สูง ยิ่งดี
ถึงแม้ตามสูตรการคำนวณอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่อาจไม่จำเป็นเสมอไป โดยข้อมูลจาก บล.บัวหลวง อธิบายว่า โดยปกติแล้วอุตสาหกรรมที่สินค้ามีต้นทุนและราคาของสินค้าค่อนข้างต่ำ จะมีค่าอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือที่ค่อนข้างสูง เพราะมีการผลิตสินค้าออกมาในปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม การมีอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือที่สูงก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะการมีสต็อกสินค้าเหลือจำนวนมาก อาจส่งผลดีกว่าในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อบริษัทคาดการณ์ว่าจะเกิดสภาวะขาดแคลนสินค้า การมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากก็สามารถช่วยให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้
“โดยปกติแล้วอุตสาหกรรมที่สินค้ามีต้นทุนและราคาของสินค้าค่อนข้างสูง จะมีอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ ที่ค่อนข้างต่ำ เพราะด้วยราคาสินค้าที่สูง ส่งผลให้ลูกค้ามักจะใช้เวลาในการตัดสินใจในการซื้อ ทำให้อาจจะมีสินค้าคงเหลือเป็นจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทสต็อกสินค้าจำนวนมาก ปัญหาที่ตามมา คือ ระยะเวลาขายสินค้าจะต้องยาวนานขึ้น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น หากสินค้าล้าสมัยก็ต้องลดราคา ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง หรือต้องตั้งสำรองขาดทุนจากการตีราคาสินค้าคงเหลือก็จะเป็นรายจ่ายในต้นทุนขาย ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเช่นกัน
สำหรับการพิจารณาว่าอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือที่เหมาะสมควรอยู่ระดับใดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งมีแนวทางในการพิจารณา ดังนี้
“ระวัง” สต็อกสินค้าสูง
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทมีสต็อกสินค้าสูง อาจมาจากความไม่โปร่งใสของการดำเนินธุรกิจ คือ ไม่มีสต็อกสินค้า (สต็อกสินค้าเทียม) แต่เป็นเพียงตัวเลขในงบการเงิน สำหรับกรณีศึกษาที่แปลกที่สุด คือ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ทำธุรกิจขายรถหรู
โดยสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เข้าทำการตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท SECC พบว่าวันที่ 15 ธันวาคม 2551 มีรถยนต์คงเหลืออยู่ในบัญชีสินค้าคงเหลือจำนวน 501 คัน รวมมูลค่า 1,425,777,958.53 บาท แต่ปรากฏว่ารถยนต์จำนวน 493 คัน มูลค่าประมาณ 1,409 ล้านบาท ไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ใด และน่าเชื่อว่าไม่มีอยู่จริง พูดง่าย ๆ บริษัทสั่งซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีจริง และจัดให้มีการบันทึกบัญชีซื้อรถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้ยอดสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อแยกตามอายุรถยนต์ มีรถที่อายุยาวในสัดส่วนมากขึ้น ทำให้ต้องตั้งสำรองขาดทุน
สำหรับอัตราส่วนการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือสูง (เช่น 200 เท่า / 400 เท่าต่อปี) ถือว่าสูงมากผิดปกติ และอาจบ่งชี้ถึงสถานการณ์หลายอย่าง
ดังนั้น อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือที่สูงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการรายงานทางการเงินที่ไม่ถูกต้อง โดยบริษัทอาจรายงานยอดขายสูงเกินจริงหรือสินค้าคงเหลือต่ำเกินจริง ซึ่งทั้งสองกรณีส่งผลให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นอย่างผิดปกติ นักลงทุนควรระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลอื่น ๆ ประกอบเสมอเมื่อพบความผิดปกติเช่นนี้
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน