บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เป็นบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในปี 2549 โดยมีสัญลักษณ์การซื้อขายว่า SGX:Y92 และปี 2555 ได้ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อ บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (F&N) ผู้นำตลาดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สิงคโปร์ จากนั้นปี 2560 เข้าซื้อหุ้นในแกรนด์ รอยัล กรุ๊ป (GRG) ผู้ประกอบการตลาดวิสกี้ของเมียนมา และไซ่ง่อน เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) ผู้ผลิตเบียร์ของเวียดนาม
ปัจจุบันไทยเบฟ ดำเนินธุรกิจผลิต นำเข้า จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ของโออิชิ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทส่วนใหญ่จะเน้นการจำหน่ายภายในประเทศไทยเป็นหลัก (สัดส่วน 72%) และบางส่วนส่งออกไปเวียดนาม (สัดส่วน 22%) และประเทศอื่น ๆ (สัดส่วน 6%)
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งแรกปี 2567 (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) มียอดขาย 147,742 ล้านบาท ลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิ 16,917 ล้านบาท ลดลง 4.9% เนื่องจากยอดขายสุราและเบียร์ปรับลดลง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30.4% เพิ่มขึ้นจาก 29.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากรับรู้การปรับตัวลงของราคาต้นทุนวัตถุดิบ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่ากำไรปกติจะสามารถกลับมาเติบโตได้ในครึ่งหลังของปี 2567 จากการเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้น และอากาศที่ร้อนกว่าปกติ รวมถึงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
ด้านนักวิเคราะห์ทริสเรทติ้ง ประเมินว่าในปีงบประมาณ 2567 รายได้ของไทยเบฟจะคงอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3% ต่อปีในช่วงปีงบประมาณ 2568 – 2569 โดยรายได้ของทุกธุรกิจจะมีการขยายตัว ยกเว้นรายได้จากธุรกิจเบียร์ในประเทศไทย ที่จะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และคาดว่า EBITDA Margin จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับประมาณ 17 - 18% ในช่วงปีงบประมาณ 2566 - 2569 จากการที่บริษัทมีแผนในการจัดการต้นทุนที่รัดกุมและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
ไทยเบฟ มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในทุกพื้นที่ที่บริษัทเข้าไปดําเนินธุรกิจ โดยในประเทศไทย เป็นผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุด ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามยอดขายสุรามากกว่า 90% และเบียร์เกือบ 40% อีกทั้ง ยังเป็นผู้นําในตลาดชาพร้อมดื่มและน้ำเมา และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายสําคัญในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ด้วย
สําหรับตลาดต่างประเทศก็มีซาเบโก้ ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35 - 40% ในขณะที่ GRG ก็เป็นผู้ผลิตและจัดจําหน่ายวิสกี้รายใหญ่ที่สุดในเมียนมา ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 70% ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะที่แข็งแกร่งทางการตลาดเอาไว้ได้จากการมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและเครือข่ายการจัดจําหน่ายที่กว้างขวาง
มีเครือข่ายการจัดจําหน่ายที่กว้างขวาง
ไทยเบฟ ได้สร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่า 500,000 ร้าน โดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 4 แห่ง และมีรถขนส่งสินค้าจํานวนมากกว่า 7,000 คัน นอกจากนี้ ยังมีช่องทางจําหน่ายผ่านตัวแทนที่มีประสิทธิภาพอีกมากกว่า 250 ราย มีพนักงานขายมากกว่า 1,700 คน
ในขณะที่เครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งซึ่งผ่านร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมของบริษัท สามารถสร้างยอดขายสําหรับการบริโภคในครัวเรือนที่ฟื้นตัว ลดการพึ่งพาช่องทางศูนย์การค้าสมัยใหม่ลงได้ และขยายสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนโดยผ่านบริษัทในเครือที่สําคัญ ๆ เช่น F&N ซึ่งมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดของตัวเองในมาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการซื้อกิจการของซาเบโก้ และ GRG ก็ช่วยเพิ่มเครือข่ายในการกระจายสินค้าไปยังเวียดนามและเมียนมาอีกด้วย
โอกาสการลงทุน
ปัจจุบันราคาหุ้นไทยเบฟ ซื้อขายในราคาที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการประเมินมูลค่า โดย Bloomberg Consensus ให้ราคาหุ้นไทยเบฟที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 0.63 ดอลลาร์สิงคโปร์ โดยราคาที่ปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบจากผลประกอบการที่อ่อนแอไปมากแล้ว ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น เห็นได้จากการบริโภคในเวียดนามที่เริ่มฟื้นตัว และคู่แข่งรายใหม่ในประเทศไทยไม่สามารถรักษาโมเมนตัมทางธุรกิจได้หลังจากการเปิดสินค้ากลุ่มเบียร์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567
และอีกประเด็นหนึ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ราคาหุ้นมีเสถียรภาพค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม สะท้อนจากค่าเบต้า (Beta) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 หมายถึง มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งตามปกติแล้วจะมีความเสี่ยงน้อย และมีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าจากกำไรส่วนต่างของราคาหุ้น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นที่มีเสถียรภาพและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
หากนักลงทุนไทยสนใจ ซื้อหุ้นไทยเบฟ สามารถลงทุนหุ้นตัวนี้ผ่าน DR (Depositary Receipts) หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DR คือ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จะเป็นคนไปซื้อหุ้นไทยเบฟ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง โดย DR มีชื่อย่อในการซื้อขายคือ “THAIBEV19” อ้างอิงหุ้นของไทยเบฟ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยข้อดีของการซื้อ DR คือ
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน