8 สัญญาณเตือนในงบการเงิน

โดย ภัทรธร ช่อวิชิต AISA นักลงทุนเน้นคุณค่า
3 Min Read
28 สิงหาคม 2567
7.259k views
TSI_Article_614_Inv_Thumbnail
Highlights
  • นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาสัญญาณเตือนในงบการเงิน เช่น การเติบโตของรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายหรือรายได้ผิดปกติ และหนี้สินที่มากเกินไป ซึ่งอาจบ่งบอกถึงปัญหาภายในบริษัท

  • สินทรัพย์ไม่มีตัวตนมากเกินไป กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง และสินค้าคงคลังมากเกินไป อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ควรระมัดระวัง

  • การมีลูกหนี้การค้าจำนวนมากและเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่สมดุลสะท้อนถึงปัญหาสภาพคล่องและการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

เมื่อพิจารณางบการเงินของบริษัท นักลงทุนพยายามทำความเข้าใจถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัท แต่บางครั้งอาจมีความซับซ้อน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง พิจารณาข้อมูลอย่างละเอียด รวมถึงตั้งคำถามที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานะการเงิน หนี้สิน และวิธีการที่บริษัทกำลังสร้างรายได้หรือใช้จ่ายเงินเพื่อพิจารณาว่ามีความผิดปกติหรือไม่ สำหรับ 8 คำเตือนในงบการเงินมีดังนี้

 

1. การเติบโตของรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ

หากตัวเลขยอดขายของบริษัทขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ โดยปัญหาอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การบริหารจัดการที่ไม่ดี หรือการวางกลยุทธ์ทางการตลาดผิดพลาด เป็นต้น ดังนั้น หากรายได้ไม่สม่ำเสมอผิดปกติ ควรตั้งข้อสังเกตและพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างละเอียด แต่ก็จะมีบางธุรกิจที่รายได้ไม่สม่ำเสมอเป็นธรรมชาติ อาทิ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รายได้มาตามการโอนโครงการ และรับเหมาที่รายได้มาตามงานที่รับมา เป็นต้น

 

โดยนักลงทุนควรพิจารณาอัตราการเติบโตของรายได้ย้อนหลัง 3 - 5 ปี หากพบความผันผวนสูง เช่น ปี 2563 รายได้เติบโต 20% ปี 2564 ลดลง 15% ปี 2565 เติบโต 30% ปี 2566 ลดลง 15% อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ตรวจสอบเพิ่มเติม

 

2. ค่าใช้จ่ายหรือรายได้ผิดปกติจำนวนมาก

บางครั้งบริษัทอาจระบุว่ามีค่าใช้จ่ายหรือรายได้พิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ นักลงทุนควรตั้งคำถามว่าบริษัทกำลังซ่อนปัญหาที่ผิดปกติหรือจงใจทำให้รายได้ให้สูงขึ้นหรือไม่ โดยควรพิจารณาหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจที่มาของรายการพิเศษ

 

3. หนี้สินมากเกินไป

เมื่อบริษัทมีหนี้สินสูงกว่ารายได้อย่างมาก ถือเป็นความเสี่ยง เพราะหนี้สินสูง หมายถึง ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายหากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอ ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้และฐานะทางการเงินในอนาคต โดยนักลงทุนควรพิจารณาสองส่วน คือ

  • ปริมาณหนี้สิน โดยดูจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หากเกิน 2 เท่า อาจบ่งชี้ถึงภาระหนี้สินที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตาม ค่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม จึงควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมด้วย
  • ความสามารถในการชำระหนี้ สามารถดูได้จากงบกระแสเงินสด ถ้ากระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวก ก็มีโอกาสจ่ายหนี้ได้มากกว่าบริษัทที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นลบ

 

4. ค่าความนิยมหรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตนจำนวนมาก

ค่าความนิยมมาจากการซื้อกิจการในมูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าทางบัญชี เงินที่จ่ายแพงอาจมาจากสิ่งต่าง ๆ เช่น ชื่อเสียงหรือแบรนด์ของบริษัท, ความสัมพันธ์กับลูกค้า, วัฒนธรรมองค์กร และความได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่วนสินทรัพย์ไม่มีตัวตน คือ สิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, เครื่องหมายการค้า, ซอฟต์แวร์ เป็นต้น หากสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของมูลค่าบริษัท ก็มีโอกาสประเมินผิดพลาดว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ระดับใด จึงอาจทำให้เกิดการประเมินมูลค่าของบริษัทสูงเกินไป โดยนักลงทุนพิจารณาสัดส่วนค่าความนิยมต่อสินทรัพย์รวม (Goodwill to Total Assets Ratio) หากสัดส่วนสูงเกิน 20% ควรพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะอาจเสี่ยงต่อการด้อยค่าในอนาคตหากผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด

 

5. กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง

กระแสเงินสดจะแสดงเงินสดที่ไหลเข้าและออกจากการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเงินสดส่วนนี้ควรเป็น “บวก” หมายความว่า กิจการสามารถดำเนินธุรกิจและสร้างหรือเก็บเงินสดได้ แต่หากเงินสดลดลงติดลบ แสดงว่ามีรายจ่ายที่เป็นเงินสดในการดำเนินงาน เช่น ค่าวัตถุดิบหรือค่าจ้างพนักงาน มากกว่าเงินสดที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการในช่วงเวลานั้น โดยนักลงทุนสามารถพิจารณาอัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อกำไรสุทธิ (Operating Cash Flow to Net Income Ratio) ซึ่งควรมีค่ามากกว่า 1 แปลว่าบริษัทสร้างเงินสดได้มากกว่ากำไร หากต่ำกว่า 1 อย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการแปลงกำไรเป็นเงินสด หรือมีรายการที่ไม่เกี่ยวกับเงินสดจำนวนมาก

 

6. สินค้าคงคลังมากเกินไป

หากบริษัทมีสินค้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าต้นทุนขาย อาจหมายความว่าผู้คนไม่ต้องการสินค้าหรือบริษัททำการผลิตสินค้ามากเกินไป ซึ่งการเก็บรักษาสินค้าจะมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น สินค้าคงคลังที่มากเกินไปอาจทำให้กำไรขั้นต้นปรับลดลง จากการต้องขายสินค้าลดราคา หรือการตั้งสำรองการขาดทุนจากมูลค่าสินค้าคงเหลือ โดยพิจารณาอัตราส่วนระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย (Average Inventory Period) แสดงระยะเวลาที่สินค้าคงเหลือเข้าบริษัทจนถึงวันที่ขายได้ หากอัตราส่วนอยู่ในระดับสูงขึ้นอาจบ่งชี้ถึงสินค้าคงคลังที่มากเกินไป

 

7. ลูกหนี้การค้าจำนวนมาก

หากบริษัทกำลังรอรับเงินจากลูกค้า โดยพิจารณาระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (Average Collection Period) โดยแสดงจำนวนวันเฉลี่ยที่บริษัทใช้ในการเก็บเงินจากลูกหนี้ หากลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ แปลว่า บริษัทกำลังมีปัญหาในการรับชำระเงิน เช่น บริษัทมีระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 45 วันเป็น 90 วันในปี 2566 เนื่องจากการให้เครดิตแก่ลูกค้านานขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย อาจส่งผลให้บริษัทเกิดปัญหาด้านสภาพคล่อง หรือในบางกรณีบริษัทอาจสร้างรายได้เทียม ก็เป็นได้

 

8. เงินทุนหมุนเวียนมากเกินไป

หากบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากเกินไปก็ไม่ดี สะท้อนว่าบริษัทไม่มีการนำเงินไปลงทุนต่อยอด ขยายกิจการเพิ่มเติม ทำให้เหลือเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก หรืออีกนัยหนึ่งกำลังสะท้อนว่าธุรกิจเติบโตเต็มที่แล้ว ไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้อีก ในทางกลับกัน หากบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนน้อยเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เนื่องจากเสี่ยงต่อการขาดสภาพคล่องได้ง่าย ถ้าหากมีลูกหนี้การค้าที่ไม่สามารถชำระเงินได้ จะทำให้บริษัทขาดสภาพคล่อง

 

การทำความเข้าใจสัญญาณเตือนในงบการเงินมีความสำคัญสำหรับนักลงทุนผู้ที่ต้องการตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของบริษัท ถึงแม้ว่าสัญญาณดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าบริษัทกำลังมีปัญหา แต่ทำให้เกิดการเพิ่มความระมัดระวังและนำไปสู่การพิจารณาเรื่องราวทางการเงินของบริษัทอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้องค์ประกอบต่าง ๆ ของงบการเงิน และเทคนิคการอ่านงบการเงินแบบง่าย เพื่อประเมินศักยภาพของกิจการประกอบการตัดสินใจลงทุน ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Financial Statement Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง:

e-Learning น่าเรียน