กลยุทธ์ลงทุนสำหรับคุณแม่มือใหม่

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2 Min Read
12 สิงหาคม 2567
1.521k views
TSI_Article_610_Inv_Thumbnail
Highlights

สำหรับคุณแม่มือใหม่ การลงทุนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด แต่เป็นโอกาสดี ๆ ที่จะช่วยให้เงินทองงอกเงยขึ้นได้ เทคนิคง่าย ๆ เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักความเสี่ยงและผลตอบแทน เหมือนกับที่คุณแม่รู้จักลูก ๆ แล้วค่อยเลือกวิธีลงทุนที่เหมาะสม อย่าลืมกระจายความเสี่ยงด้วย และที่พลาดไม่ได้คือ การติดตามและปรับปรุงพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับการดูแลต้นไม้ สุดท้ายอย่าลืมระวังกับดักการลงทุน ทั้งการลงทุนตามกระแสและการหลอกลงทุน ควรเพิ่มความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน

การเป็นคุณแม่นับเป็นบทบาทที่ท้าทายและน่าภาคภูมิใจ แต่นอกเหนือจากการดูแลครอบครัวแล้ว การวางแผนและจัดการทางการเงินก็เป็นอีกหนึ่งความรับผิดชอบสำคัญที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

 

สำหรับคุณแม่มือใหม่ การเริ่มต้นลงทุนอาจดูเป็นเรื่องน่ากังวล ท่ามกลางภาระหน้าที่มากมายและเวลาที่มีจำกัด การศึกษาเรื่องการลงทุนอาจเป็นภารกิจที่เกินกำลัง แต่ความจริงแล้วการเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณแม่สามารถสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงให้กับตัวเองและครอบครัวได้


ความเสี่ยงที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ ก่อนลงทุน

“ความเสี่ยง” ฟังดูอาจน่ากลัว แต่เมื่อคุณแม่เข้าใจก็จะกลายเป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนควรทำความรู้จักกับความเสี่ยงแต่ละประเภท

  • ความเสี่ยงจากตลาด เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยรวม เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือโรคระบาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนเกือบทุกประเภท เช่น ช่วง COVID-19 ราคาหุ้นมักจะปรับลดลงพร้อม ๆ กัน
  • ความเสี่ยงเฉพาะตัว เกิดกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ผู้บริหารทุจริต สินค้าไม่เป็นที่นิยม หรือคู่แข่งมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้น ๆ โดยตรง
  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกับราคาตราสารหนี้ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง และหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น หากต้องการขายก็มีโอกาสได้รับเงินสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุนได้
  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน “ค่าเงินบาท” เป็นปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาประเมินก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะถ้าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าจะส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนแตกต่างกัน เนื่องจากค่าเงินบาทอาจมีผลกระทบต่อยอดขาย ต้นทุน และกำไรสุทธิของหุ้นตัวนั้น ดังนั้น หากเลือกหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และสอดคล้องกับค่าเงินบาทในช่วงนั้น ย่อมสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อพอร์ตลงทุนโดยรวม
  • ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง เป็นความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ทันทีที่ต้องการ หรือขายได้แต่ราคาไม่ดี เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะขายได้

 

เมื่อรู้จักประเภทความเสี่ยงแล้ว ถัดมาต้องประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เพื่อเลือกการลงทุนที่เหมาะสม และช่วยลดความกังวลแม้ว่าตลาดอยู่ในภาวะตลาดผันผวน ซึ่งวิธีง่าย ๆ ในการประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือลองถามตัวเองดังนี้

  • หากเงินลงทุนของพอร์ตลดลง 20% ในหนึ่งปี จะรู้สึกอย่างไร หากคิดแล้วนอนไม่หลับ แสดงว่ารับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรเลือกการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ
  • มีภาระทางการเงินอะไรบ้าง หากมีภาระมาก เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ก็ควรระมัดระวังในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
  • มีเวลาลงทุนนานแค่ไหน หากมีเวลาลงทุนนานก็สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพราะมีเวลาให้การลงทุนฟื้นตัวหากเกิดความผันผวน

 

เลือกสินทรัพย์ลงทุน

  • กองทุนรวม เปรียบเสมือนการไปช้อปปิ้งแบบมีสไตลิสต์ส่วนตัว คุณแม่รู้สึกว่าต้องการแต่งตัวสวย ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร การลงทุนในกองทุนรวมก็คล้าย ๆ กัน เหมือนคุณมีสไตลิสต์มืออาชีพคอยช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ แต่ในที่นี้ คือ ผู้จัดการกองทุนที่จะช่วยเลือกหุ้นหรือตราสารทางการเงินต่าง ๆ ให้ โดยข้อดี คือ เลือกกองทุนที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง เช่น ชอบความเสี่ยงต่ำก็เลือกกองทุนตราสารหนี้ รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นก็เลือกกองทุนผสม กองทุนหุ้น หรือลงทุนกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศ ที่สำคัญสามารถเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • หุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจดีมีอนาคตเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควรมีช่วงระยะเวลาเพียงพอที่จะรอให้กิจการเติบโต และรอเก็บผลตอบแทนจากเงินปันผลในอนาคต นอกจากนี้ ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เนื่องจากเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับจะช่วยสร้างสภาพคล่องระหว่างการถือหุ้นของนักลงทุนและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นเงินสดทุก ๆ ปีในรูปแบบ Passive Income
  • ตราสารหนี้ เป็นอีกทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสภาวะตลาดที่ผันผวน เพราะโดยปกติราคาและผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับหุ้น หากมีหุ้นอยู่ในพอร์ตลงทุน และต้องการกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของผลตอบแทนให้กับพอร์ตโดยรวมตราสารหนี้จะเป็นตัวช่วยชั้นดี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และมีช่องทางให้เลือกลงทุนหลากหลาย ทั้งทางตรงผ่านการซื้อขายในตลาดแรกจากผู้ออกตราสารหนี้ และซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านตลาดรอง ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้

 

กระจายความเสี่ยงในการลงทุน

หากนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์เดียว เช่น หุ้นบริษัทเดียว หรือกองทุนรวมกองเดียว อาจมีความเสี่ยงมากเกินไป แต่หากกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, กองทุนรวม, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โอกาสที่จะสูญเสียเงินทั้งหมดก็ลดลง ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น

ตัวอย่าง คุณแม่มีเงิน 100,000 บาท อาจลองแบ่งเงินลงทุน ดังนี้

  • 40,000 บาท (40%) ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น
  • 30,000 บาท (30%) ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนรวมตราสารหนี้
  • 20,000 บาท (20%) ลงทุนในกอง REITs และทองคำ
  • 10,000 บาท (10%) เก็บไว้เป็นเงินสดหรือเงินฝากประจำ

 

การแบ่งเงินลงทุนเรียกว่า “การจัดสรรสินทรัพย์” จะช่วยให้คุณแม่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี และไม่เสี่ยงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีความเสี่ยงที่รับได้ไม่เท่ากัน บางคนชอบความตื่นเต้นก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้น แต่บางคนชอบความมั่นคงก็เพิ่มสัดส่วนในพันธบัตรหรือเงินฝากมากขึ้น

 

การติดตามผลและปรับปรุงพอร์ตการลงทุน

เมื่อคุณแม่ลงทุนไปสักระยะหนึ่ง สถานการณ์ ภาวะตลาดการลงทุนและราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ อาจเปลี่ยนแปลง และทำให้น้ำหนักของสินทรัพย์บางตัวมากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น หากปีนี้หุ้นสร้างผลตอบแทนได้ดี สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตลงทุนก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย และหากในปีถัดไปตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างหนัก พอร์ตลงทุนที่มีหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากก็มีโอกาสที่จะขาดทุนมาก จึงควรทบทวนพอร์ตลงทุนทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ว่าเป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนที่กำหนดไว้ตอนต้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะได้ปรับพอร์ตลงทุนได้ทันท่วงที แต่อย่าปรับพอร์ตบ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้พอร์ตไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างที่ควรจะเป็น


ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

ในบางครั้งคุณแม่อาจเห็นคนอื่นรวยจากหุ้นตัวนั้น กองทุนรวมนี้ ก็รีบกระโดดเข้าไปลงทุนตามคนอื่นบ้าง แต่นี่เป็นกับดักชั้นดีและอาจทำให้ขาดทุน ดังนั้น ควรดูว่าสินทรัพย์ลงทุนนั้น ๆ เหมาะกับตัวเองหรือไม่ นอกจากนี้เรื่องการหลอกลวงหรือชักชวนลงทุนก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากใครมาบอกว่าลงทุนแล้วรวยเร็ว ได้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ให้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย พูดง่าย ๆ การลงทุนที่ดีต้องเริ่มจากความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ลงทุนตามคนอื่น หรือหวังรวยทางลัด ค่อย ๆ เรียนรู้และเริ่มลงทุน แล้วคุณแม่จะเห็นเงินงอกเงยอย่างมั่นคงแน่นอน

สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และต้องการนำแนวคิดและขั้นตอนในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาใช้เพื่อคัดกรองบริษัทที่มีพื้นฐานดี เหมาะแก่ลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุนหุ้นมั่นใจ ต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐาน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง: