15 หุ้นหนี้สินต่ำ ลงทุนอุ่นใจ ไร้ความกังวล

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
24 กรกฎาคม 2567
8.711k views
TSI_Article_606_Inv_Thumbnail
Highlights
  • บริษัทที่มีหนี้สินต่ำหรือไม่มีเลย จะมีความเสี่ยงทางการเงินที่น้อยลง มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง และสามารถลงทุนขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงทางการเงิน ยิ่งค่า D/E Ratio ต่ำ บริษัทมีแนวโน้มจะพึ่งพาเงินกู้น้อย มีความเสี่ยงล้มละลายต่ำ และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ

  • นอกจาก D/E Ratio แล้ว ควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ เช่น DSCR, IBD/E Ratio และ Interest Coverage Ratio เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท

การปลอดหนี้เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา เช่นเดียวกับนักลงทุนที่มองหาบริษัทที่มีภาระหนี้สินต่ำหรือไม่มีเลย เนื่องจากระดับหนี้สินที่ต่ำสะท้อนถึงความเสี่ยงทางการเงินที่น้อยลง บริษัทที่มีหนี้สินต่ำหรือปราศจากหนี้มักจะมีสภาพคล่องสูง หรือที่เรียกว่า รวยเงินสด (Cash Rich)

 

ข้อดีของบริษัทที่รวยเงินสด

  • มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดี
  • มีโอกาสในการลงทุนและขยายธุรกิจโดยไม่ต้องก่อหนี้
  • มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่สูงและสม่ำเสมอ

 

D/E Ratio คือ อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ดู Leverage ของบริษัท กล่าวคือบริษัทใช้หนี้มากขนาดไหนเพื่อสร้างผลตอบแทน ตัวอย่างเช่น บริษัทสองแห่งสร้างผลการดำเนินงานได้เท่ากัน บริษัทที่มีหนี้สินมากกว่าจะทำผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นสูงกว่า หรือ มี ROE มากกว่า เพราะใช้เงินกู้ลงทุนมาดำเนินธุรกิจ (ใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นน้อย)

 

ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้น นักลงทุนไม่ควรลืมดูบริษัทที่มีหนี้น้อยหรือไม่มีเลยผ่านอัตราส่วนทางการเงินที่เรียกว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกว่าบริษัทใช้เงินกู้มากแค่ไหนเมื่อเทียบกับเงินทุนของตัวเอง “ยิ่งค่านี้ต่ำ ก็ยิ่งแสดงว่าบริษัทพึ่งพาเงินกู้น้อย” หมายถึงความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำลงด้วย

 

ทำไมหุ้นที่มี D/E Ratio ต่ำถึงน่าสนใจ

  • ลงทุนแล้วนอนหลับสบาย ไม่กลัวล้มละลาย บริษัทที่มีหนี้น้อยมีโอกาสล้มละลายต่ำ เพราะไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก
  • เงินเหลือ พร้อมลุยธุรกิจใหม่ เมื่อไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย บริษัทก็มีเงินเหลือไปลงทุนขยายกิจการใหม่ ๆ
  • ปันผลสม่ำเสมอ ด้วยภาระทางการเงินที่น้อย บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอและในระดับที่น่าพอใจ

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากการมองหุ้นที่มี D/E Ratio ต่ำ ต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย

  • ธุรกิจประเภทไหน ธุรกิจโดยทั่วไปตามมาตรฐานแล้วควรมี D/E Ratio ไม่เกิน 1 เท่า ถ้าเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปอาจมี D/E Ratio ได้ถึง 3 เท่า ยกเว้นสถาบันการเงินที่อาจมี D/E Ratio ระดับสูงกว่านี้มาก เนื่องจากต้องใช้เงินฝาก (Deposit) มาปล่อยกู้ (Loan) อีกทอดหนึ่ง เป็นต้น
  • เปรียบเทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไร พิจารณาค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมประกอบ โดยค่า D/E Ratio ควรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • แนวโน้มเป็นอย่างไร D/E Ratio ที่ลดลงเรื่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณดีด้านความสามารถในการจัดการหนี้สิน อาจหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร การบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีขึ้น หรือการเติบโตโดยใช้เงินทุนภายในแทนการกู้ยืม ซึ่งทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว

 

หลังจากพิจารณา D/E Ratio แล้ว ควรพิจารณาอัตราส่วนที่เรียกว่า DSCR (Debt Service Coverage Ratio) ซึ่งเป็นเหมือน “เครื่องวัดความสามารถในการจ่ายหนี้” ของบริษัท หากค่า DSCR สูง แสดงว่าบริษัทมีเงินเหลือพอที่จะจ่ายหนี้สบาย ๆ แต่ถ้าอยู่ในระดับต่ำ อาจต้องเริ่มกังวลว่ามีเงินเหลือพอจ่ายหนี้จริง ๆ แค่ไหน

ดังนั้น นักลงทุนจะใช้ค่า DSCR เป็นเหมือน “สัญญาณเตือนภัย” หากต่ำกว่า 1 แสดงว่าบริษัทกำลังมีปัญหา อาจต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อจ่ายหนี้เก่า แต่ถ้าสูงกว่า 1 ก็ถือว่าน่าสบายใจ “ยิ่งสูง ยิ่งดี”

 

เครื่องมือวัดสุขภาพทางการเงินถัดมา คือ อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (Interest Bearing Debt to Equity Ratio : IBD/E Ratio) อัตราส่วนนี้เป็นเหมือนเครื่องวัดไข้ทางการเงินที่บอกว่าบริษัทนั้น ๆ ร้อน (มีความเสี่ยง) แค่ไหน โดยเทียบหนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกับเงินทุนของเจ้าของ โดยปกติค่านี้ไม่ควรเกิน 1 ดังนั้น ยิ่งค่านี้ต่ำ (ต่ำกว่า 1) แสดงว่ามีความเสี่ยงทางการเงินต่ำ หากค่านี้สูงแปลว่าบริษัทกู้เงินสูง

 

มาถึงอัตราส่วนที่บอกว่าบริษัทจะรอดหรือร่วง เพราะหลาย ๆ ครั้ง นักลงทุนอาจสงสัยว่าทำไมบางบริษัทที่ทำกำไรได้ดี แต่กลับล้มละลาย สามารถค้นหาคำตอบได้จาก อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) เพราะบอกว่าบริษัทมีกำไรมากพอจะจ่ายดอกเบี้ย โดยปกติค่านี้ต้องสูงกว่า 1 แสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน และโอกาสที่จะเติบโตในอนาคต (ยิ่งสูง ยิ่งดี) ตรงกันข้ามหากค่าน้อยกว่า 1 แปลว่า บริษัทมีกำไรในการจ่ายดอกเบี้ยได้บางส่วน และค่าเป็นศูนย์ (0) หรือติดลบ หมายถึงไม่มีกำไรหรือขาดทุน จึงไม่มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ย

Table showing 15 stocks with low liabilities.

เงื่อนไขการจัดอันดับ

  1. D/E Ratio ไม่เกิน 0.20 เท่า
  2. Debt Service Coverage Ratio มากกว่า 1
  3. IBD/E Ratio น้อยกว่า 1
  4. Interest Coverage Ratio มากกว่า 1 เท่า
  5. กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก
  6. กระแสเงินสดจากการลงทุนเป็นลบ
  7. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นลบ
  8. กระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก
  9. กำไรสุทธิเป็นบวก (ห้ามขาดทุน) ตลอด 5 ปีล่าสุด (ปี 2562 – 2566)
  10. กำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2567 เป็นบวก (ห้ามขาดทุน)

 

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทปราศจากหนี้สินไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป สำหรับบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคงในระดับหนึ่งและมีสินทรัพย์ถาวรที่สามารถใช้ค้ำประกันได้ การมีหนี้บางส่วนอาจเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทางธุรกิจ สิ่งสำคัญ คือ การรักษาสมดุลและระมัดระวังไม่ให้ระดับหนี้สูงเกินไปจนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินงานในระยะยาว

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีการดูว่ากิจการนั้น จะไปรอดหรือไม่รอด ด้วยการดูงบกระแสเงินสด เพื่อดูการได้มาและใช้ไปของเงินสด รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินของกิจการ เพื่อเพิ่มโอกาสค้นหาหุ้นพื้นฐานดี น่าลงทุน สามารถเรียนรู้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Statement of Cash Flows” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง: