ทำไมเงินบาทถึงอ่อนค่า และนักลงทุนต่างชาติถึงขายหุ้นไทยต่อเนื่อง?
ปี 2565 นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 202,694 ล้านบาท ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดถึง 1,718.55 จุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และเคลื่อนไหวในระดับ 1,517-1,678 จุด จากนั้นไปจนสิ้นปี ก่อนที่ในอีกสองปีต่อมา นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ขายสุทธิ 192,490 ล้านบาท และปี 2567 (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน) ขายสุทธิ 117,031 ล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับ 1,300 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 2567) นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนก็อ่อนค่าจาก 32.08 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 36.78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเกิดคำถามว่า เหตุใดต่างชาติจึงขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และเหตุใดเงินบาทถึงอ่อนค่าต่อเนื่อง?
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายและ Dollar Yield Premium น่าจะเป็นสาเหตุหลัก
การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ, การเกินดุลหรือขาดดุลทั้งจากการค้าและภาคบริการ, การไหลเข้า-ออกของเงินทุน และผลต่างของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ทั้งนี้การอ่อนค่าของเงินบาทในรอบนี้ตั้งแต่ต้นปี 2567 มองว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 5.25-5.50% ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. 2566 ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.50% ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 2566 ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ-ไทย ห่างกัน 3% ซึ่งเป็นระดับที่กว้างมาก
แม้ในระยะแรก (ปลายปี 2566) ส่วนต่างที่กว้างจะยังไม่ส่งผลต่อเงินทุนไหลออกมากนัก เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจถึงการสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ (การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น และผู้ลงทุนจะขาดทุน) แต่พอถึงปี 2567 ที่สถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มควบคุมได้แล้ว สถานการณ์ดังกล่าวทำให้การปรับลดดอกเบี้ยเป็นเรื่องของเวลา เงินลงทุนจึงมีแนวโน้มโยกจากตลาดตราสารหนี้ไทย ไปยังตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอันดับเครดิตที่ค่อนข้างสูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก (สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings ที่ AA+ / Moody’s ที่ AAA) เมื่อประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับสูง ทำให้สินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีความดึงดูดหรือน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ในสกุลเงินอื่น ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าค่าเงินสหรัฐฯ มี Yield Premium ที่ดีกว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะกับเงินบาท
นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ทิ้งหุ้นไทย แต่เลือกซื้อเป็นรายอุตสาหกรรม
แม้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยถึง 117,081 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการพิจารณาเพียงตัวเลขยอดขายสุทธิดังกล่าว อาจให้ภาพที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากเป็นตัวเลขของปริมาณขายที่มาจากเฉพาะตลาดรอง (Secondary Market) หรือการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่ได้รวมการได้มาของหุ้นจากตลาดแรก (Primary Market) อาทิ การจองซื้อหุ้น IPO หรือการเพิ่มทุน เป็นต้น
ดังนั้น การติดตามความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติที่มีประสิทธิภาพมากกว่า จึงอาจทำได้ผ่านการติดตามการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Ownership) ซึ่งคำนวณมาจากสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Holding) บวกกับการถือหุ้นผ่าน NVDR
จากสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Ownership) จะพบสัญญาณบวกว่า แม้นักลงทุนต่างชาติจะลดสัดส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง, พลังงาน, ประกัน และอสังหาริมทรัพย์ แต่นักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มยานยนต์, การแพทย์ และสื่อสาร ขณะที่อุตสาหกรรมที่ยังไม่เห็นแนวโน้มเด่นชัด แต่เริ่มมีสัญญาณบวกจากการเพิ่มการถือครอง ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยอุตสาหกรรมเกษตร, การเงิน, อาหาร และท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าติดตาม
ถอดบทเรียนจากปี 2543 เกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินและตลาดหุ้น?
การทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อาจช่วยเราคาดการณ์ถึงแนวโน้มของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในรอบนี้ได้ ทั้งนี้สถานการณ์ที่ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายกว้างมากอย่างเช่นตอนนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 24 ปีก่อน หรือในช่วงปี 2543 โดยเราสามารถแบ่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนออกมาได้เป็น 3 ช่วง ตามการเปลี่ยนส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายดังนี้
ในวิกฤติมีโอกาสสำหรับนักลงทุนซ่อนอยู่
ครึ่งปีแรก 2567 ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงแล้ว 8.12% เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลก และหากนับจากจุดสูงสุดหลังโควิดที่ 1,718.55 จุด ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงถึง 24.30% ทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจและขาดความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าในวิกฤติมีโอกาสสำหรับนักลงทุนซ่อนอยู่
การอ่อนค่าของเงินบาทในรอบนี้ มีโอกาสส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยมากกว่าช่วงปี 2543 แม้สถานการณ์ในปัจจุบันทั้งการอ่อนค่าของเงินบาท และผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ไม่ดีจะคล้ายกับช่วงปี 2543 อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่เศรษฐกิจในรอบนี้จะได้ผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาทมากกว่า เนื่องจาก
ควรมีหุ้นในกลุ่มได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าในพอร์ต
ผลของส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายที่กว้างและ Dollar Yield Premium ที่ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนไม่ควรคาดหวังการกลับมาของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากการที่เงินบาทอ่อนค่าในรอบนี้น่าจะส่งผลบวกต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทย ทำให้นักลงทุนควรมีหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าในพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มได้ประโยชน์ทางตรง อย่างธุรกิจส่งออก (อาทิ อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์) หรือกลุ่มได้ประโยชน์ทางอ้อม อย่างภาคบริการ (อาทิ ท่องเที่ยวและการแพทย์) ซึ่งเชื่อว่าจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม
สถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสลงทุนที่ดีที่สุดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
การเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2567 มีโอกาสเป็นบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากจะทำให้ภาวะตึงตัวจากต้นทุนการเงินที่ขยับขึ้นมากผ่อนคลายลง และเป็นความเสี่ยงทางบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง การเข้าสู่ช่วงที่ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ-ไทยแคบลง (ระยะที่ 2) ในระยะสั้นอาจมีความเสี่ยงการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน หรือการไหลออกของเงินทุนจากการปรับน้ำหนักการลงทุน (Reallocation) ไปยังตราสารหนี้สหรัฐฯ มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านช่วงเวลาดังกล่าว เงินบาทจะมีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งมองเป็นจุดที่เงินทุนต่างชาติ จะมีโอกาสไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทย ซึ่งจะมีโอกาสเป็นบวกกับภาพการไหลเข้าของเงินลงทุนในช่วงปี 2568-2569 ดังนั้นช่วงเวลาไตรมาส 3/2567 แม้จะมีความเสี่ยงจากปัจจัยในประเทศทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและการเมือง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโอกาสลงทุนที่ดีที่สุดเมื่อมองไปยัง 12-18 เดือนข้างหน้า
ดังนั้น นักลงทุนควรเริ่มทำการศึกษาธุรกิจที่สนใจและมีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้ ทั้งนี้การบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีการแบ่งเงินลงทุนเป็นหลายก้อน ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้ได้ และทำให้นักลงทุนไม่ต้องพะวงกับเรื่องของจังหวะการลงทุนมากจนเกินไป
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน