30 ปีที่ “เสี่ยป๋อง” วัชระ แก้วสว่าง คร่ำหวอดลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น เขาตื่นนอนตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อมาอ่านข่าว ศึกษาข้อมูลทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิค และเมื่อถึงเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขายก็นั่งติดตามไปจนกระทั่งตลาดปิดทำการ จากนั้นก็ศึกษาข้อมูลต่อจนถึงประมาณ 1 ทุ่ม
“ผมทำแบบนี้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ พูดง่าย ๆ คือ วันที่ตลาดหุ้นเปิดซื้อขายจะดูข้อมูลและไม่อยากหนีไปไหนเพราะกลัวผิดพลาด” วัชระ เล่าถึงชีวิตประจำวันการลงทุนของตัวเอง
ในฐานะมือเก๋าที่โลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นไทยมานาน วัชระแนะนำมือใหม่หรือคนที่กำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุนว่า ถ้าต้องการประสบความสำเร็จ “ขึ้นอยู่กับว่าจะลงมือทำหรือเปล่า ต้องหมั่นทบทวนความผิดพลาด และเชื่อว่าถ้าทุกคนเอาจริงก็จะค้นพบวิธีที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้”
ยกตัวอย่างของตัวเขาเอง ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการลงทุนแต่ทุกวันนี้ก็ยังต้องศึกษาข้อมูลอยู่ตลอดเวลา “ทุกคนต้องมีวินัย มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ทุกวันนี้ทำงานตั้งแต่ตลาดเปิดจนตลาดปิด บางวันก็ดูข้อมูลต่อในช่วงกลางคืนเพราะลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วย”
วัชระ แนะนำเพิ่มเติมว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นและปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจะใช้เวลาในการทำกำไรสั้นมาก “แต่อย่าประมาท โดยนักลงทุนต้องรู้ 2 อย่าง คือ ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิค ต้องศึกษาก่อนว่าบริษัททำอะไร มีกำไรหรือไม่ ราคาหุ้นจะปรับขึ้นต้องมี Story และต้องหา Timing ในการซื้อขาย ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีวินัย เช่น กราฟสั่งให้ขายก็ต้องขาย หรือถ้ามีใครมาชวนและบอกแค่ราคาหุ้นก็อย่าเชื่อมั่นว่าซื้อแล้วจะต้องได้กำไร เช่น ซื้อ 2 บาทและมั่นใจว่าจะขายได้ในราคา 5 บาท แต่ถ้าไปดูกราฟแล้วกลับพบว่าราคาเริ่มจากไม่กี่สตางค์ ก็ต้องระวังและศึกษาข้อมูลโดยเฉพาะปัจจัยพื้นฐาน งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน”
ก่อนประสบความสำเร็จต้องเรียนรู้ความผิดพลาด
จากการที่วัชระยืมเงินที่บ้านมาลงทุนและประสบความสำเร็จในวัยเพียง 20 ปี ทำให้เขาหลงระเริงจึงตัดสินใจเติมเงินในพอร์ตลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เขาไม่รู้ว่าหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นจะปรับลดลงอย่างรวดเร็ว และแล้ววันนั้นก็มาถึงเมื่อเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงจากราว 1,700 จุด สู่ 300 จุด วัชระเจ็บหนักจนถึงขั้นต้องกลับบ้านที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรียนรู้ข้อผิดพลาด จนทำให้เขาประสบความสำเร็จในวันนี้
จุดเริ่มต้นของวัชระกับโลกการลงทุนมาจากการชักชวนของรุ่นพี่คนหนึ่ง (ทั้งคู่ศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค) เขาจึงตัดสินใจขอเงินที่บ้านจำนวน 5 แสนบาทเพื่อเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นครั้งแรกในปี 2537 (อายุ 19 ปี) ขณะนั้นดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 700 จุด ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นจึงใช้เวลาเพียงปีกว่าก็สามารถทำกำไรได้ถึง 5 ล้านบาท และยิ่งดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่อง กำไรก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยทำให้เขาตัดสินใจขอเงินจากที่บ้านเข้ามาเติมเรื่อย ๆ จนถึงระดับ 60 ล้านบาท (ข้อมูลจากหนังสือ “8 เซียนหุ้นหมื่นล้าน เขาทำได้ คุณก็ทำได้” โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
“จากเงินลงทุนเริ่มต้น 5 แสนบาท จนพอร์ตโตเป็น 5 ล้านบาทภายในเวลาปีกว่า ๆ ถือว่าใช้ได้เพราะตอนนั้นทั้งเรียนและลงทุน ทั้งตัวเองและที่บ้านมีความมั่นใจมากจึงใส่เงินเติมให้เรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นวิกฤติต้มยำกุ้งก็เริ่มแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ขายหุ้นเลย” วัชระ เล่า
อย่างไรก็ตาม หลังจากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับประมาณ 1,700 จุด และเมื่อเผชิญกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนีก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือทำให้วัชระขาดทุนและเหลือเงินในพอร์ตราว 20 ล้านบาท สุดท้ายเขาต้องหยุดลงทุนพร้อมกับเดินทางกลับบ้านไปช่วยทำงานที่บ้าน
วัชระยอมรับว่าการประสบความสำเร็จในวัยเพียง 20 ปี เกิดจากโชคล้วน ๆ ไม่ได้มีหลักการลงทุนอะไรเลย เพราะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ทำให้โอกาสในการซื้อแล้วทำกำไรจึงง่ายมาก แต่บทเรียนล้ำค่าอยู่ที่การมองว่าตัวเองเก่ง ที่บ้านมีความมั่นใจและยอมให้นำเงินมาเติมในพอร์ต “ตอนนั้นหลงระเริง อายุ 20 ปี รู้สึกชีวิตง่าย ใส่เงินเติมพอร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อวันที่ดัชนีเริ่มปรับลดลงต่อเนื่อง บางวันปรับลดลง 100 จุด จุดนี้จึงกลายเป็นแดนประหาร” วัชระ บอก (ข้อมูลจาก TNN Wealth, วันที่ 24 กันยายน 2564)
หลังจากเหลือเงินกลับบ้าน 20 ล้านบาท วัชระก็เริ่มศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้คำแนะนำจากนักลงทุนรุ่นพี่คนหนึ่งให้ศึกษาการลงทุนจากปัจจัยทางเทคนิคต่อด้วยการใช้ปัจจัยพื้นฐาน จากนั้นก็กลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งพร้อม ๆ กับเรียนรู้และนำบทเรียนจากความล้มเหลวในอดีตมาปรับใช้ จนกระทั่งในปี 2546 เขาจึงตัดสินใจเป็นนักลงทุนแบบเต็มเวลา (ข้อมูลจาก The Standard, วันที่ 21 เมษายน 2564)
นอกจากจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและลงมือศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้ว วัชระมักจะขึ้นเวทีสัมมนาเพื่อถ่ายทอดบทเรียนและประสบการณ์ให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่อยู่เสมอ โดยเขาฝากหลักการ 5 ข้อสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเป็นนักลงทุน
1. ต้องรู้พื้นฐานหุ้น
นักลงทุนต้องรู้พื้นฐานของหุ้นที่จะลงทุน โดยศึกษาข้อมูลให้ได้เยอะที่สุดเพื่อให้รู้ว่าเป็นบริษัทที่ดีหรือไม่ ผู้บริหารเป็นอย่างไร ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ รวมถึงศึกษางบการเงินย้อนหลัง 2 – 3 ปี ดูอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ อ่านบทวิเคราะห์ซึ่งจะทำให้มองโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างทางการเงิน แนวโน้ม และราคาเป้าหมายของหุ้นตัวนั้นได้
2. ต้องรู้กราฟ รู้จังหวะ
นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องหาจังหวะ (Timing) ที่ถูกต้องในการลงทุนหุ้นตัวนั้น ยิ่งปัจจุบันสามารถศึกษาได้อย่างรวดเร็วจากงานสัมมนา งานอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ต้องศึกษาปัจจัยทางเทคนิคด้วยและพยายามดูรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นในอดีตว่าเป็นอย่างไร ที่สำคัญต้องเข้าใจความหมายและนำไปใช้ให้ถูกต้อง และอย่าลืมว่ากราฟแต่ละประเภทจะมีความสำคัญแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ที่ลืมไม่ได้ คือ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องใช้กราฟแบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ จึงต้องอาศัยการสังเกตและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
3. ต้องรู้ข้อมูลข่าวสาร
นอกจากการติดตามข้อมูลข่าวสารในประเทศแล้วยังต้องรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกด้วย เช่น เมื่อเห็นหุ้นราคาถูกมากแต่อยู่ในกลุ่มที่กำลังโดน Disrupt แต่ไม่ได้ติดตามข่าวสารว่าปัจจุบันเป็นธุรกิจที่ไม่มีอนาคต ถ้าเข้าไปลงทุนก็มีโอกาสเจ็บตัว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลว่าธุรกิจไหนกำลังเติบโต ผลิตภัณฑ์ไหนกำลังเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งโลก
4. ต้องฝึกฝน
ตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที และผู้ที่ประสบความสำเร็จจึงมีการลองผิดลองถูกตลอดเวลาเช่นกัน เช่น หลังจากศึกษาข้อมูลและมั่นใจว่าปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง กราฟเทคนิคสวยงาม และตัดสินใจซื้อแล้ว แต่เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น มีโอกาสทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงและต้องขายตัดขาดทุน ตลาดหุ้นจึงไม่มีใครทำให้ประสบความสำเร็จได้นอกจากตัวเอง จึงต้องเรียนรู้ความผิดพลาดแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง
5. ต้องมีวินัย
การมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องมีอยู่ตลอดเวลา เช่น หากศึกษาข้อมูลและมั่นใจว่าถูกต้องก็ต้องลงมือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น หุ้นตัวนี้มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เทคนิคสวย ก็ต้องซื้อ และเมื่อลงทุนไปสักระยะและข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ขาดทุนและกราฟส่งสัญญาณให้ขาย ก็ต้องขาย ที่สำคัญไม่ควรเชื่อคนอื่นโดยไม่มีข้อมูลรองรับ อย่าลืมว่าการลงทุนไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ แปลว่า ต้องเรียนรู้และหาสูตรการลงทุนของตัวเองให้เจอ
สำหรับใครที่สนใจลงทุนในหุ้น เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว สามารถเปิดบัญชีหุ้น ผ่านออนไลน์แอปพลิเคชัน ได้ที่ >> คลิกที่นี่
หรือนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้สไตล์การลงทุนแบบต่าง ๆ รวมถึงสไตล์หุ้นแต่ละประเภท เพื่อคัดเลือกหุ้นและวางกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับตนเอง เพื่อนำไปสู่ผลตอบแทนระยะยาวตามที่ต้องการ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Investment Styles” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่