หลายครั้งที่นักลงทุนมองหาคำแนะนำหรืออ่านบทวิเคราะห์การลงทุนก็จะเจอคำว่า “ถึงเวลาที่ต้องลงทุนแบบ Active Investment” หรือ “ตลาดผันผวนแบบนี้ต้องเลือกลงทุนเป็นรายตัว” เมื่อฟังแล้วก็ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบความตื่นเต้น มีความมั่นใจ เน้นสร้างผลตอบแทนมากกว่าความปลอดภัย โดยอาศัยจังหวะซื้อขายทำกำไรหรือเลือกลงทุนเฉพาะบางกลุ่มอุตสาหกรรม ในภาวะการลงทุนที่ราคามีความผันผวนมากกว่าปกติ
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ Active ตามหลักการเบื้องต้นมาจาก 2 ส่วน
ลงทุนแบบ Active ให้ผลตอบแทนที่ดีจริงหรือไม่ ?
Vanguard บริษัทจัดการลงทุนได้ทำการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางสถิติจากอุตสาหกรรมกองทุน ด้วยการนำผลตอบแทนรายเดือนของกองทุนที่อยู่ในกลุ่ม Active Management ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนรวมกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ของกองทุนนั้น และดูว่าปัจจัยตลาดผันผวน (Volatility) และราคาหุ้นมีการกระจายตัว (Dispersion) มีความสัมพันธ์ต่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือไม่
สมมติฐาน คือ หากปัจจัยทั้งสอง (ตลาดผันผวนและราคาหุ้นกระจายตัว) ที่ทำให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุน (Active Return) จริง ผลตอบแทนของกองทุนรวมควรจะสูงกว่าเกณฑ์วัดผลในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
จากตาราง พบว่าถึงแม้ในช่วงตลาดมีความผันผวนน้อยไปหามากเพียงใดและราคาหุ้นมีการกระจายตัว ก็ไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนประเภท Active Fund สูงกว่าดัชนีอ้างอิงอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญผลตอบแทนไม่เป็นที่น่าประทับใจด้วย และจากการพิสูจน์ดังกล่าวสามารถตั้งข้อสังเกตได้ ดังนี้
ดังนั้น หากนักลงทุนสนใจเลือกลงทุนแบบ Active นอกจากจะพิจารณาภาวะตลาดหรือราคาหุ้น ก็ต้องหาปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เช่น การติดตามงบการเงินอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์และมองภาพแนวโน้มระยะยาวให้แม่นยำ เป็นต้น
ถ้าไม่ลงทุนแบบ Active หรือยังไม่พร้อม มีทางเลือกที่ดีพอหรือไม่ ?
Fidelity บริษัทจัดการลงทุน ทำข้อมูลการถือลงทุนในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 1980 – 2022 พบว่าหากลงทุนและถือไว้โดยที่ไม่ขายเลยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว (Buy & Hold) จากเงินลงทุน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มเป็น 1,082,309 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 107 เด้ง คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 12.4% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนเลือกจับจังหวะลงทุน (ซื้อ ๆ ขาย ๆ) หรือลดพอร์ตลงทุนบ้าง แล้วพลาดวันที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นดีที่สุดไปเพียง 5 วัน พบว่าเงินลงทุน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 671,051 ดอลลาร์สหรัฐ หรือหากพลาดวันที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นดีที่สุดไป 50 วัน เงินลงทุน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเพียง 76,104 ดอลลาร์สหรัฐ (ดูกราฟด้านล่างประกอบ)
จากการพิสูจน์ทั้งสองกรณี อาจกล่าวได้ว่าการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Investment) ซึ่งเน้นการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า คุ้มเวลามากกว่า ดังนั้น หากนักลงทุนประเมินตัวเองและพบว่ายังไม่พร้อมที่จะลงทุนแบบ Active ลองเปิดใจด้วยการเริ่มต้นลงทุนแบบเชิงรับก่อน เพราะถึงแม้การลงทุนแบบ Active อาจให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในบางกรณี แต่หากต้องการได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ การเลือกลงทุนแบบ Passive ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน