ในช่วงที่ธีมการเติบโตของเศรษฐกิจถูกชี้นำโดยเทคโนโลยี หุ้นที่เกี่ยวข้องก็ปรับตัวสูงขึ้นจนมีสัดส่วน Market Cap. เมื่อเทียบกับตลาด ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ทำให้นักลงทุนหลายท่านเริ่มตั้งคำถามว่า การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี มีเหตุผลอยู่ไหม? แพงไปหรือไม่? หรือควรเลือกลงทุนอย่างไร?
สำหรับตลาดการเงิน ภาคเทคโนโลยี (Information Technology) ในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มสำคัญที่ต้องรู้จัก ประกอบด้วย Semiconductor, Hardware และ Software ซึ่งทั้งหมดไม่ได้แพง แต่ก็ไม่ได้เติบโตสูงตลอดเวลา นักลงทุนสามารถทำความเข้าใจและเลือกลงทุนได้
กลุ่มแรก จับต้องได้แต่มักไม่ต้องจับ คือ Semiconductor เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเทคโนโลยี
ปัจจุบัน Semiconductor มีขนาด Market Cap. รวมใหญ่ที่สุดในกลุ่มย่อยของภาคเทคโนโลยี กลุ่มนี้ประกอบด้วยบริษัทผู้ผลิต Memory, Core Processors, Graphic Chips, Logic Controllers นักลงทุนมักเรียกรวมว่า Chips ซึ่งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสินค้า Electronics และบริการทางเทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 85% จะอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีบริษัทหลักอย่าง NVIDIA, Broadcom, AMD, Intel และ Taiwan Semiconductor (TSMC)
จุดแข็งของ Semiconductor สำหรับการลงทุนคือ ความสามารถในการทำกำไรที่สูงที่สุด แม้ช่วงนี้ Semiconductor บางบริษัทอาจมีราคาสูงผิดปกติไปบ้าง
แต่ในมุมการประกอบธุรกิจ Chip Makers ควรเป็นกลุ่มที่ Valuation ถูกกว่า Tech อื่น ด้วยความที่สินค้ามีความเป็นกึ่งโภคภัณฑ์ ความเสี่ยงสำคัญของกลุ่มนี้คือ คาดเดารายได้ยาก เพราะจะมีหลากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการซื้อ ความต้องการขาย (Demand & Supply) หรือการเมือง (Politics) เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา
กลุ่มที่สอง เทคโนโลยีที่จับต้องไม่ได้ แต่ใช้บริการทุกวันอย่าง Software and Services เป็น Tech ที่เติบโตสูงและมักแพงที่สุด
ธุรกิจ Software เป็นธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สินค้าที่ตอบโจทย์เดียวกัน อาจมีความแตกต่างกันมาก ทำให้การแข่งขันในธุรกิจสูง ในอดีต ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ บริษัท Software มักเน้นการเติบโตด้านยอดขายก่อนกำไร จึงมักเป็นกลุ่ม Tech ที่ผันผวนสูงและคาดเดากำไรได้ยากที่สุด
แต่ในปัจจุบัน กลุ่ม Software นำโดยบริษัทใหญ่ที่มีขนาดส่วนแบ่งการตลาดสูงมาก เช่น Microsoft, Salesforce, Adobe, SAP, Oracle และ IBM เปลี่ยนโมเดลธุรกิจเป็นการให้บริการเป็นหลัก จึงทำให้ Software กลายเป็นกลุ่ม Tech ที่คาดเดาผลประกอบการได้ง่ายขึ้น เมื่อบวกกับความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ กำไรจึงแข็งแกร่ง และมักเป็นกลุ่มที่ซื้อขายในระดับ Valuation ที่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่ม Tech ด้วยกัน
กลุ่มสุดท้าย Hardware เทคโนโลยีที่จับต้องได้ กำไรน้อยกว่า เติบโตช้ากว่า แต่คืนกำไรให้นักลงทุนมากกว่า
เทคโนโลยีกลุ่มที่สามคือ Hardware ประกอบด้วยผู้ผลิตและจัดจำหน่าย Mobile Devises, Laptops, PC และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยบริษัท Hardware จะกระจายตัวอยู่ทั่วโลก เช่น Apple, Dell, Cannon, Lenovo และ Samsung Electronics
ถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกัน Hardware เป็นเทคโนโลยีกึ่งกลาง สินค้าและบริการมีความคล้ายกันบ้างแต่ไม่ถึงกับเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของแบรนด์
ส่วนในด้านการรับรู้ของตลาด Hardware เป็นกลุ่มที่มีความใกล้เคียงกับสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) มากที่สุด แม้การเติบโตอาจไม่ได้สูงเมื่อเปรียบเทียบในกลุ่ม Tech ด้วยกัน แต่ Hardware จะมีความสัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจและวัฏจักรธุรกิจสูง เมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจดีก็จะเติบโตอย่างรวดเร็วไปด้วย
ผลประกอบการมักเชื่อมโยงกับ Market Share ที่ความผันผวนต่ำ การลงทุนมีระยะเวลาที่ชัดเจน จึงมักมีเงินเหลือมาจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืนให้กับนักลงทุนได้บ่อยครั้งกว่า
เมื่อเข้าใจส่วนประกอบของกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า ภาค Technology ใหญ่เกินไปแล้วหรือไม่?
เทียบกับอดีตความใหญ่ของกลุ่ม Tech ถือเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง ควรลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน อย่างน้อยเป็นบริษัทที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา
ย้อนอดีตกลับไป 200 ปี เคยมีภาคธุรกิจที่มีสัดส่วนต่อตลาด ใหญ่กว่ากลุ่ม Tech ปัจจุบันแค่สามภาคธุรกิจและสามช่วงระยะเวลา คือ Finance & Real Estate ช่วงปี 1825 ที่มีสัดส่วน 90% ต่อจากนั้นคือ Transportation ช่วงปี 1875 สัดส่วน 70% และใกล้ที่สุดคือ Energy & Materials ปี 1950 สัดส่วน 40%
แม้การกระจุกตัวอาจอธิบายได้ด้วยกำไรที่เติบโตดีกว่าตลาด แต่ไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่ภาคธุรกิจใดจะสามารถรักษาผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดได้ตลอดไป
สำหรับกลุ่ม Tech แม้จะไม่มีคู่แข่งช่วงนี้ แต่นักลงทุนสามารถกระจายแบบ Equal Weight หรือย้ายไปสู่กลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา ที่มีขนาด Market Cap. ต่ำกว่า หรือถ้าต้องการลดความเสี่ยง ก็สามารถเน้นไปที่กลุ่ม Hardware เป็นหลักได้
อีกประเด็นคือ Tech ใหญ่ เช่น Magnificent Seven กำลังส่งสัญญาณว่าหุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันอาจไม่ใช่อนาคตทั้งหมด
แม้ Magnificent Seven จะไม่ใช้หุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด แต่ก็มี Microsoft, Apple, NVIDIA เป็นหุ้นหลัก เช่นเดียวกับช่วงฟองสบู่ในหุ้นเทค (Tech Bubble) ปี 2000 ที่ประกอบด้วย Microsoft, Cisco, Intel, Oracle หรือช่วง Nifty 50 ปี 1973 IBM, Kodak, Xerox ความคล้ายกันคือ สัดส่วนต่อตลาดหุ้นที่สูง และมี Valuation ที่แพงขึ้นอย่างผิดปกติเป็นเหตุผลหลัก
หลังจากนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเพียง Microsoft เท่านั้นที่ยืนระยะได้ในอีก 2 ทศวรรษ แต่นอกนั้นแม้จะเป็นหุ้น Big Tech ใหญ่แห่งยุค ก็ไม่ได้การันตีว่าจะเป็นอนาคตเสมอไป สำหรับการลงทุน จึงไม่ควรมองแค่ว่าเป็นหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เรารู้จัก แต่ต้องถามให้ลึกถึงโครงสร้างของธุรกิจ ลักษณะของการทำกำไร และ Valuation ด้วย
ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก ผ่านตลาดหุ้นไทย
สำหรับนักลงทุนไทย ที่สนใจลงทุนหุ้นนอก ปัจจุบันสามารถลงทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ผ่านการลงทุนใน DR และ DRx (Fractional DR) ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (SET) โดยผู้ออก DR และ DRx จะเป็นคนไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งผู้ถือ DR และ DRx จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง
ช่องทาง DR และ DRx ถือเป็นการลงทุนในประเทศไทย จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากกำไรที่เกิดจากการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย ปัจจุบันตลาดหุ้นไทย (SET) มี DRx ที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลกที่น่าสนใจ 3 ตัว ได้แก่
และมี DR ที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ได้แก่
ในมุมมองของผม การลงทุนในกลุ่มเทคฯ ยังคงสำคัญ และเมื่อการลงทุนกระจุกตัว นักลงทุนก็ควรกระจายการลงทุนไปใน Semiconductor, Software และ Hardware ทั้งในและนอกสหรัฐฯ ครับ
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีการกระจุกตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเสี่ยงจึงสูงกว่าการลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนควรปรึกษาผู้แนะนำการลงทุน และหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน