“หลิน” วีระพงษ์ ธัม เติบโตมาจากครอบครัวธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ทำให้เขาวาดฝันจะเป็นนักธุรกิจเหมือนคุณพ่อ คุณแม่ และเขาก็ทำความฝันให้เป็นจริงเมื่อได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจหลายประเภท ผ่านการถือหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยด้วยแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) จนประสบความสำเร็จและได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักลงทุนหุ้นคุณค่ารุ่นใหม่ไฟแรง”
หลังจากประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง วีระพงษ์ก็ตัดสินใจไปลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นและหุ้นตัวแรกที่ซื้อ คือ Berkshire Hathaway ที่มีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นผู้ก่อตั้ง ในปี 2555 โดยเหตุผลที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะต้องการไปเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อนั่งฟังวอร์เรน บัฟเฟตต์ ขวัญใจของเขา ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557
อีกเหตุผลสำคัญที่กระตุ้นให้วีระพงษ์เกิดความสนใจหุ้นสหรัฐอเมริกามากขึ้น คือ ได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เพื่อไปเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) บริษัทที่ซิลิคอน แวลลีย์ หลายแห่ง (เช่น Facebook, Alphabet (Google), Airbnb) จึงได้เห็นกระบวนการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร และได้พูดคุยกับคนไทยที่ทำงานที่นั่น ก็พบว่า ธุรกิจให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เช่น หากงานไหนที่ทำงานซ้ำ ๆ ก็จะเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อให้ทำงานแทน พูดง่าย ๆ นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานและการดำเนินธุรกิจ เขาจึงเริ่มศึกษาข้อมูลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 (ปี 2563) ถือเป็นจุดเริ่มต้นแบบจริงจังในการเข้าไปลงทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยมีปัจจัยสำคัญเนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และหากดูจากสถิติก็พบว่ามีรูปแบบการฟื้นตัวคล้าย ๆ กับช่วงวิกฤติซับไพรม์ (ปี 2551) โดยหุ้นที่ฟื้นตัวชัดเจน คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาด COVID-19 และด้วยปัจจัยพื้นฐานก็เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนทั่วโลกกระโดดเข้ามาลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวีระพงษ์
“การฟื้นตัวหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนทั่วโลก มะรุมมะตุ้มเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพราะราคาหุ้นปรับขึ้นทุกวันและกลัวพลาดโอกาสหรือเรียกว่า FOMO ผลที่ตามมาก็ทำให้เกิดฟองสบู่และฟองสบู่ก้อนใหญ่ที่สุด คือ ช่วงต้นปี 2564” วีระพงษ์ กล่าว
ผลจากการเข้าไปลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงฟองสบู่กำลังขยายตัว ทำให้วีระพงษ์แทบไม่มีกำไรและเงินก้อนใหม่ ๆ ที่เติมเข้าไปก็ขาดทุน เพราะซื้อในช่วงราคาแพง “ยอมรับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่มีวินัย ถึงแม้จะซื้อถูกตัวก็ขาดทุน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ หุ้นที่ถือก็กลับมาได้เพียง 5% เท่านั้น เช่น Facebook, Google ส่วนที่เหลืออีก 95% ราคาหุ้นยังกองอยู่กับพื้น บางธุรกิจก็ล้มหายตายจากไปเลย ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้เรียนรู้และเป็นประสบการณ์ตรงในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงการดูหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้วย”
วีระพงษ์ อธิบายต่อว่า หลักการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ กับหุ้นไทยเป็น “หลักการเดียวกัน” เพียงแต่หุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีธุรกิจที่หลากหลาย และมีนักลงทุนจากทั่วโลกมาลงทุน ทำให้ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้ง “ต้องเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง พูดง่าย ๆ เมื่อโลกกว้างขึ้น มีสินค้าให้เลือกมากมาย ต้องตั้งสติให้ดีและอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ”
หลังจากได้บทเรียนและมีเวลาการลงทุนยาวนานขึ้น วีระพงษ์เริ่มเข้าใจการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น จะหาข้อมูลจากที่ไหนที่มีความน่าเชื่อถือ “เริ่มรู้แล้วว่าจะต้องประพฤติตัวอย่างไรบ้าง จึงเริ่มสร้าง Playbook การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ของตัวเอง เริ่มจากการกรองข้อมูล เลือกธุรกิจที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง เพื่อทำให้ประสิทธิภาพการลงทุนดีขึ้น”
วีระพงษ์ ยอมรับว่าส่วนใหญ่แล้วจุดเริ่มต้นการลงทุนเกิดจาก “ความโลภ” และเมื่อได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ความโลภก็จะหายไปและแทนที่ด้วยความรู้ ความเข้าใจ ก็จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จในระยะยาว “ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ก็เริ่มปรับแก้พอร์ตลงทุนมาเรื่อย ๆ เช่น ลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเลือกธุรกิจที่ยังไม่มีกำไรและกำลังอยู่ในช่วงเริ่มสร้าง (Early Stage)”
เขาใช้เวลาปรับแก้พอร์ตลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 2 – 3 ปี ซึ่งเขายอมรับว่าพอร์ตลงทุนที่ฟื้นตัวได้ ส่วนหนึ่งมาจากความโชคดีที่แค่บาดเจ็บจากการแบ่งเงินไปลงทุนเพียงเล็กน้อย โดยกลยุทธ์การปรับพอร์ต นอกจากจะลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการกระจายลงทุนในตลาดที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทน “การกระจายลงทุนในระดับที่เหมาะสมจะทำให้เกิดประสิทธิภาพการลงทุน”
วีระพงษ์ ให้ข้อแนะนำว่า องค์ประกอบสำคัญในการไปลงทุนต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ คือ การประมาณการตัวเอง ความระมัดระวัง องค์ความรู้ และเน้นลงทุนระยะยาว “หากสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ ควรเริ่มต้นจากการค่อยเป็นค่อยไป หาความรู้ก่อนเน้นผลกำไร ลงทุนธุรกิจที่เข้าใจและเข้ากับสไตล์ตัวเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หาธุรกิจที่ดี และเมื่อหาของดีได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อทันที ก็ต้องดูจังหวะด้วย เช่น หากราคาหุ้นแพงก็ต้องรอ ซึ่งข้อดีของการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ คือ มีตัวเลือกหลากหลาย ดังนั้น เมื่อเลือกธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาในลิสต์แล้ว และหากคุณภาพธุรกิจในลิสต์ดีขึ้นเรื่อย ๆ และเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม คุณภาพของพอร์ตลงทุนก็จะดีขึ้นตามไปด้วย” วีระพงษ์ กล่าว
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ของวีระพงษ์ ปัจจุบันได้ลดสัดส่วนหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) คือ กลุ่มเทคโนโลยี เพราะมองว่าราคาค่อนข้างแพง ด้วยการเพิ่มน้ำหนักไปยังหุ้นกลุ่มคุณภาพ (Quality Stock) ซึ่งหากอ้างอิงกับ MSCI กำหนดให้คุณสมบัติสำคัญ 3 อย่างในการนิยามคำว่าหุ้นประเภทดังกล่าว คือ
โดยหุ้นคุณภาพมีลักษณะเด่นมักทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอยได้ดีกว่าตลาดโดยรวม และสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในระยะยาว
“ส่วนตัวชอบหุ้นกลุ่มคุณภาพที่จับต้องได้ เข้าใจธุรกิจดีและเติบโตในระดับหนึ่ง มีความมั่นคงและแข็งแรง ราคาไม่แพง เช่น ธุรกิจอาหาร กีฬา ธุรกิจบริการด้านการเงิน” วีระพงษ์ กล่าว
คำแนะนำ
เขาแนะนำนักลงทุนที่กำลังสนใจลงทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยต้องรู้ว่าตัวเองต้องรู้อะไร และไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร และต้องประเมินตัวเองตลอดเวลา เพราะถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีข้อดี คือ เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพ มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แต่ก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่หลากหลายเช่นกัน จึงต้องเริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ก่อน
การเลือกหุ้นไม่จำเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการวิเคราะห์ซึ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่นักลงทุนที่ดีควรมีอัตราความสำเร็จในการเลือกหุ้นที่สูง อย่างน้อยที่สุดที่เลือกต้อง “ไม่ขาดทุนในระยะยาว” หมายความว่า หุ้นที่เลือกในอีกหลาย ๆ ปีข้างหน้า ต้องมีผลประกอบการที่ดี และการเลือกหุ้นที่ถูกต้องไม่ควรตัดสินใจด้วย “ราคา” ในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะกว่าที่ราคาหุ้นจะบอกว่านักลงทุนคิดถูกหรือผิดควรเป็นระยะเวลา 1 - 2 ปีขึ้นไป
สำหรับการลงทุนหุ้นไทย ถือว่าเป็นพอร์ตลงทุนหลักของวีระพงษ์ โดยเขาจะเน้นการลงทุนตามธีม (Thematic Investment) เป็นการลงทุนโดยอาศัยการจับทิศทางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใดที่จะเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจการค้าโลกในระยะยาว โดยวีระพงษ์ชอบหุ้นส่งออกที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจของต่างประเทศ “ผมจะคัดเลือกหุ้นที่เป็นผู้นำในการส่งออกและสามารถจับทางตลาดที่ส่งออกไปได้” ถัดมา คือ กลุ่มบริการ เพราะเป็นธุรกิจที่คนไทยมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรมและมีโอกาสเติบโตในอนาคต
โดยกลยุทธ์การคัดกรองหุ้นไทย วีระพงษ์จะใช้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์แบบ Top- Down Analysis, SWOT เพื่อดูจุดแข็ง จุดอ่อนของบริษัท รวมทั้งการเปรียบเทียบค่า Ratio ต่าง ๆ อีกทั้ง Five Forces Model ก็เป็นอีกกรอบในการวิเคราะห์เพื่อดูสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ
ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ผ่านตลาดหุ้นไทย
สำหรับนักลงทุนไทย ที่สนใจลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันสามารถลงทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ซื้อขายบนกระดานตลาดหุ้นไทย เช่น DRx (Fractional DR) ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DRx จะเป็นคนไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งผู้ถือ DRx จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง
ซึ่งช่องทางนี้ถือเป็นการลงทุนในประเทศไทย จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากกำไรที่เกิดจากการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย ปัจจุบันตลาดหุ้นไทย (SET) มี DRx อยู่ 10 ตัว ที่อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ โดยหุ้นที่โดดเด่น คือ หุ้น 7 นางฟ้า ได้แก่
นักลงทุนสามารถซื้อขาย DRx ได้อย่างสะดวกผ่านแอปพลิเคชัน Streaming เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชี DRx ซึ่งเป็นบัญชีย่อยภายใต้บัญชีซื้อขายหุ้นเพิ่มเติม
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ DRx เพิ่มเติม >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน ทางเลือกลงทุน และวิธีการลงทุนในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน หลักการเลือกลงทุน และวิธีการลงทุน DRx ในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “DRx ลงทุนไซซ์เล็ก เพื่อโอกาสใหญ่ในตลาดโลก” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่