ลงทุนหุ้นปันผล สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
4 Min Read
4 เมษายน 2567
3.793k views
TSI_Article_578_Inv_Thumbnail
Highlights

การลงทุนในหุ้นปันผลเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงและมีรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว โดยนักลงทุนจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง หากเลือกหุ้นปันผลได้ถูกตัวและก็ถือไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคง

หุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอสามารถสร้างรายได้ประจำได้ จึงเป็นหุ้นที่นิยมในวงกว้างของนักลงทุนที่มุ่งหวังการลงทุนในบริษัท ที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอในอัตราที่เติบโต ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของกิจการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยนักลงทุนจะมองหาหุ้นที่จ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องทุก ๆ ปี อีกทั้ง ยังเป็นหุ้นที่ลงทุนแล้วสบายใจในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องขายหุ้นออก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ราคาหุ้นมีความผันผวนสูง  

 

หมายความว่า หุ้นปันผลจะสร้างรายรับได้โดยไม่ต้องคอยจับจังหวะในการซื้อขายหุ้นตลอดเวลา ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากปันผลแม้จะอยู่ในช่วงตลาดขาลงหากบริษัทมีศักยภาพในการกำไร สะท้อนให้เห็นว่าเป็นหุ้นที่มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผล ดังนั้น นักลงทุนจึงเต็มใจที่จะเก็บหุ้นไว้ในช่วงตลาดเป็นขาลงหรือภาวะเศรษฐกิจซบเซา เพราะถึงแม้ราคาหุ้นจะมีโอกาสปรับลดลงแต่ก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล

 

สำหรับหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะสมกับนักลงทุนประเภทไหน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจดีมีอนาคตเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงควรมีช่วงระยะเวลาเพียงพอที่จะรอให้กิจการเติบโต และรอเก็บผลตอบแทนจากเงินปันผลในอนาคต อีกทั้ง ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เพราะเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับจะช่วยสร้างสภาพคล่องระหว่างการถือครองหุ้นของนักลงทุนอีกด้วย หากต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นเงินสดทุก ๆ ปี ในรูปของ Passive Income

 

สำหรับหุ้นปันผลที่ดี อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่าควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

  • เต็มใจจ่ายปันผล โดยหุ้นที่มีความพร้อมจ่ายเงินปันผล พิจารณาจากความมั่นคงของผลการดำเนินงาน ผลกำไร โดยศึกษาข้อมูลในอดีตย้อนหลัง (5 – 10 ปี) หุ้นที่เต็มใจจ่ายเงินปันผลจะต้องมีผลการดำเนินงานเติบโตสม่ำเสมอ สังเกตได้ว่า หุ้นที่เต็มใจจ่ายเงินปันผลจะไม่เป็นธุรกิจที่มีผลกำไรขึ้น ๆ ลง ๆ เช่น ปีที่แล้วกำไรดี ปีนี้ขาดทุน ปีหน้ากำไรเล็กน้อย ปีถัดไปกลับขาดทุน เป็นต้น

 

  • ดำเนินธุรกิจที่ผันผวนต่ำ หุ้นปันผลที่ดีสม่ำเสมอมักจะอยู่ในธุรกิจที่มีแรงต้านทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจ หมายความว่า ช่วงเศรษฐกิจซบเซาสามารถสร้างยอดขาย และมีผลกำไรที่น่าประทับใจ เพราะหากธุรกิจที่มีความผันผวนย่อมทำให้ผลการดำเนินงานผันผวนตามไปด้วย

 

  • ผลการดำเนินงานสามารถคาดการณ์ได้ หุ้นปันผลที่ดีควรคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตได้ เพราะหากรายได้ลดลงย่อมมีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการจ่ายเงินปันผล วิธีการ คือ นำตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้นคูณนโยบายการจ่ายปันผล ซึ่งสามารถประมาณการจ่ายเงินปันผลคร่าว ๆ ได้

 

โดยอาจจะใช้หลักเกณฑ์ที่มีผลต่อการตัดสินใจจ่ายเงินปันผลเข้ามาประกอบด้วย ทั้งนโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่งสามารถประเมินการจ่ายเงินปันผลจากตัวเลขรายได้และกำไร รวมถึงความสามารถในการจ่ายเงินปันผล เพราะมีบางบริษัท พยายามจ่ายเงินปันผลโดยการกู้เงินหรือขายสินทรัพย์บางอย่าง ซึ่งไม่มีความสามารถจ่ายปันผลที่ยั่งยืน

 

  • ประวัติจ่ายเงินปันผลดี พิจารณาจากประวัติการจ่ายเงินปันผลย้อนกลับไปในช่วงเศรษฐกิจดีและเศรษฐกิจซบเซา รวมถึงช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เพื่อให้ครอบคลุมวัฏจักรธุรกิจทั้งรุ่งเรืองและตกต่ำ โดยเฉพาะช่วงตกต่ำว่าบริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้หรือไม่ เพื่อประเมินศักยภาพและแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลของหุ้นได้ในระดับหนึ่ง

 

  • ฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอจะต้องมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและเพียงพอที่จะนำมาจ่ายปันผล โดยพิจารณาจากโครงสร้างหนี้ว่า มีหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูงเกินไปหรือไม่ และโครงสร้างหนี้ควรเป็นหนี้สินระยะยาว เพราะหากมีหนี้สินระยะสั้นสูง อาจจะมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลลดลง

 

  • กระแสเงินสดเป็นบวก พิจารณากระแสเงินสดจากการดำเนินงานมีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยพิจารณาย้อนหลัง 5 – 10 ปี ครอบคลุมทั้งวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง ซึ่งกระแสเงินสดเป็นตัวบ่งชี้ว่า มีความสามารถจ่ายปันผลหรือไม่ หากบริษัทมีแนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ดีและกระแสเงินสดเป็นบวกได้ต่อเนื่อง มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ก็มั่นใจได้ว่าในอนาคตยังคงจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องได้

 

  • อัตราการจ่ายปันผลสูง การพิจารณาอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) เป็นอัตราส่วนที่พิจารณาได้ว่า หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นปันผลหรือไม่ โดยปกติอัตราการจ่ายปันผลจะคำนวณจากเงินปันผลต่อหุ้นเปรียบเทียบกับอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น โดยบริษัทที่เป็นหุ้นปันผลจะมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับ 70 – 80% หรือบางบริษัทอาจสูงถึง 90 – 100% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรูปแบบธุรกิจที่มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตถึงระดับอิ่มตัว และค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงไม่ต้องการใช้เงินลงทุนมากนัก ดังนั้น ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจจึงมีแนวโน้มนำมาจ่ายเงินปันผลในระดับสูงได้

 

  • ค่าเบต้า (Beta) ต่ำ เป็นค่าที่ใช้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเทียบกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น หรือเรียกในเชิงสถิติ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นกับดัชนีหุ้น โดยให้ดูที่ค่าเบต้า หากเป็นหุ้นปันผลมักจะมีค่าเบต้าต่ำ ทั้งนี้ หากตลาดหุ้นอยู่ในช่วงผันผวนเพราะมีความเสี่ยง ไม่มีความไม่แน่นอนหรือไร้ทิศทางชัดเจน ควรเลือกหุ้นที่ค่าเบต้าต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน และหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำมักให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับสูง เพราะผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสามารถเป็นกันชนที่ช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น

 

  • สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี หุ้นปันผลที่ดีควรมีสภาพคล่องในการซื้อขายด้วย ดังนั้น หุ้นปันผลที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่พอสมควรจะมีความน่าสนใจ และหากหุ้นปันผลที่มีมาร์เก็ตแคปไม่มาก ควรเลือกหุ้นที่มี Free Float สูง ๆ

 

  • อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ควรสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และผลตอบแทนหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งระดับสูง เพราะการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงกว่า ดังนั้น ผลตอบแทนเงินปันผลควรสูงตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม อาภาภรณ์บอกว่า การตัดสินใจเลือกหุ้นปันผลอาจไม่ได้ง่าย เพราะมีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายและรับเงินปันผล ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ้นปันผลจากข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้

 

1. เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend Per Share : DPS) เป็นเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับต่อหุ้นในแต่ละปี โดยมาจากเงินปันผลจ่ายหารจำนวนหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในงวดนั้น ๆ โดยเงินปันผลต่อหุ้นจะนำไปคำนวณเพื่อหาอัตราผลตอบแทนจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อไป อย่างไรก็ตาม หากบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเป็นกรณีพิเศษก็ต้องหักเงินปันผลดังกล่าวออกก่อน จึงจะเห็นเงินปันผลปกติ

เงินปันผลต่อหุ้น = เงินปันผล/จำนวนหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในงวดนั้น ๆ

กรณีมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษ

เงินปันผลต่อหุ้น = (เงินปันผล – เงินปันผลพิเศษ)/จำนวนหุ้น

ตัวอย่าง หุ้น ABC จ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลทั้งสิ้น 1 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงกลางปีได้จ่ายเงินปันผลเป็นกรณีพิเศษ 5 แสนบาท ดังนั้น เงินปันผลต่อหุ้น

เงินปันผลต่อหุ้น = (2,000,000 – 500,000)/1,000,000

ดังนั้น เงินปันผลต่อหุ้นเท่ากับ 1.50 บาทต่อหุ้น


2. กำไรต่อหุ้น
(EPS) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารแล้วสร้างผลกำไรได้เป็นอย่างไร โดยพิจารณาว่า ผู้บริหารทำงานดีแค่ไหน อาจพิจารณาจากการบริหารยอดขาย ประสิทธิภาพต้นทุน ขณะเดียวกันเมื่อบริหารแล้ว ผลกำไรที่ทำได้จะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอมากน้อยแค่ไหน พูดง่าย ๆ นอกจากผู้บริหารจะต้องมีประสิทธิภาพแล้วก็ต้องไม่ทิ้งผู้ถือหุ้นด้วย

กำไรต่อหุ้น = กำไรสุทธิรอบ 12 เดือนล่าสุด/ส่วนของผู้ถือหุ้น


3. อัตราการจ่ายเงินปันผล
(Dividend Payout Ratio) คือ สัดส่วนเงินปันผล (DPS) หารกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แสดงถึงว่ามีนโยบายจ่ายเงินปันผลระดับใด เช่น ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาทต่อหุ้น และจ่ายเงินปันผลจำนวน 60 ล้านบาท คิดเป็น 0.60 บาทต่อหุ้น หมายความว่า มีนโยบายจ่ายเงินปันผลปี 2566 ที่ระดับ 60%

อัตราการจ่ายเงินปันผล = (สัดส่วนเงินปันผลต่อหุ้น/กำไรสุทธิต่อหุ้น) x 100

อัตราการจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราส่วนที่บอกว่าบริษัทมีเงินจำนวนเท่าใดและจะแบ่งจ่ายกลับไปให้ผู้ถือหุ้นในรูปเงินปันผลมากน้อยแค่ไหน

 

4. อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) คำนวณจากมูลค่าปันผลต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้น หากหุ้นตัวใดมีอัตราดังกล่าว “สูง” หมายความว่าให้ผลตอบแทนเงินปันผล “สูง” (สามารถเปรียบเทียบกับหุ้นในธุรกิจเดียวกัน) ซึ่งอัตราผลตอบแทนดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น ยิ่งหุ้นให้อัตราผลตอบแทนสูง จะได้รับความนิยมจากนักลงทุนสูงเช่นเดียวกัน

อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = (เงินปันผลต่อหุ้นต่อปี/ราคาหุ้น) x 100

ตัวอย่าง หุ้น YYY จ่ายเงินปันผล 3 บาท วันที่คำนวณ (1 มกราคม 2566) ราคาปิด 40 บาท ผลลัพธ์มีอัตราปันผลตอบแทน 7.5% ขณะที่หุ้น ZZZ จ่ายเงินปันผล 3 บาท วันที่คำนวณ (1 มกราคม 2566) ราคาปิด 60 บาท ผลลัพธ์มีอัตราปันผลตอบแทน 5%

 

สังเกตว่า ถึงแม้หุ้นทั้งสองจะมีเงินปันผลเท่ากัน (3 บาทต่อหุ้น) แต่หุ้น YYY มีอัตราปันผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น ZZZ เพราะมีราคาหุ้นต่ำกว่า หมายความว่า หากลงทุนซื้อหุ้น YYY ได้ในราคา 40 บาท และจ่ายเงินปันผล 3 บาทต่อหุ้นเท่าเดิม จะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7.5% ต่อปี

 

5. การคาดการณ์เงินปันผล คือ ประมาณการเงินปันผลต่อหุ้นในอนาคต ซึ่งต้องมีประมาณการกำไรต่อหุ้นและนโยบายการจ่ายเงินปันผล รวมทั้งพิจารณาอัตราการจ่ายปันผลที่จ่ายในงวดล่าสุดประกอบด้วย จากนั้นประเมินว่าในปีข้างหน้า บริษัทจะจ่ายปันผลมากน้อยแค่ไหน

 

ตัวอย่าง ปัจจุบันหุ้น XYZ ซื้อขายที่ราคา 10 บาท โดยจ่ายเงินปันผลไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 25 สตางค์ และนักลงทุนประเมินว่าทุกไตรมาส บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเท่ากัน หมายความว่า ปี 2566 จะจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 1 บาท หมายความว่า มีการประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประจำปี 2566 เท่ากับ 10%  

 

การพิจารณาลงทุนในหุ้นปันผล อาภาภรณ์อธิบายว่า นอกจากจะวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ควรให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา (Timing) ในการลงทุนด้วย โดยช่วงตลาดขาขึ้น (Bull Market) หุ้นปันผลมักจะให้อัตราผลตอบแทนในการลงทุนที่ต่ำกว่าตลาด (Underperform Market) เมื่อพิจารณาอัตราส่วนต่างกำไรจากราคาหุ้นบวกอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล

 

สำหรับช่วงที่ตลาดแกว่งตัวแคบ ๆ (Sideways) หรือมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน หุ้นปันผลจะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง ช่วยหนุนราคาหุ้นเอาไว้ ทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมสูงกว่าตลาด (Outperform Market) ได้

 

ทั้งนี้ ต้องวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ว่าหุ้นนั้น ๆ ยังสามารถจ่ายปันผลสูงได้ในช่วงที่ตลาดขาดปัจจัยบวกทางด้านพื้นฐานเข้ามากระตุ้นหรือไม่ หากมีแนวโน้มว่าจะจ่ายไม่ได้หรือจ่ายได้แต่น้อยลงมาก ราคาหุ้น (ที่เคยเป็นหุ้นปันผลดีในอดีต) ก็มีโอกาสที่จะลดลงมากกว่าตลาด (Underperform Market)

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการคัดกรองหุ้นดี น่าลงทุน ด้วยการใช้งานเครื่องมือ Settrade Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ โดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
แท็กที่เกี่ยวข้อง: