การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุน และกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ตลาดหุ้นเวียดนามจัดเป็น Frontier Market (ตลาดชายขอบ) ที่กำลังพัฒนาไปสู่ Emerging Market (ตลาดเกิดใหม่) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน
โดย ณ สิ้นปี 2022 ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า มูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหุ้นเวียดนาม (Market Cap.) อยู่ที่ประมาณ 60% ต่อ GDP เวียดนาม ส่วนตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 115% ต่อ GDP ไทย แต่เวียดนามมีอัตราการเติบโตของ Market Cap. สูงกว่าที่ 42% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2019 – 2023) เทียบกับตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นเพียง 6% ในช่วงเวลาเดียวกัน
จากกราฟด้านบน แสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี VN Index นับตั้งแต่ต้นปี 2019 ที่เปิดตลาดที่ 892.54 จุด จนถึงวันที่ 22 มีนาคม 2024 ที่ปิดตลาดไปที่ 1,281.80 จุด โดยตัวเลขด้านบนสุดของกราฟ แสดงการเปลี่ยนแปลงของดัชนีรายปีหรือเทียบเท่ากับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี VN Index ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีดังกล่าวให้ผลตอบแทนเป็นบวกเกือบทุกปี ยกเว้นปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อขจัดความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ส่วนในปี 2024 นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 22 มีนาคม 2024 ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13.4%
ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีการขยายตัวในอัตราตัวเลข 2 หลักในช่วงปี 2014 – 2019 ก่อนที่ชะลอตัวลงในปี 2020 จากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ก็กลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2021 ส่วนปี 2022 – 2023 กำไรสุทธิกลับมาชะลอตัวลงถึงติดลบ เป็นไปตามการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กราฟด้านบนแสดงมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเป็นรายเดือน แยกตามตลาด โดยตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) มีการซื้อขายต่อวันเฉลี่ยในปี 2023 ที่ 632 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (HNX) ที่ 61 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และ UpCoM (กระดานซื้อขายหุ้นของบริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์และตลาดหลักทรัพย์ฮานอย) ที่ 22 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ถือว่ามูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวเมื่อเทียบกับของปี 2019 แต่ก็ยังต่ำกว่าปี 2021 ที่ในปีนั้นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 955, 120, และ 62 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อวันตามลำดับ
และหากวัดสภาพคล่องจากอัตราส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเทียบกับ Market Cap. พบว่าตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ในปี 2023 ที่ 0.32 ถือว่าใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปีเดียวกันที่ 0.29
ถ้ามองในแง่ของเงินทุนไหลเข้า - ออก (Fund Flow) พบว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิเป็นบวก โดยกราฟบนซ้ายมือแสดงมูลค่าการซื้อ (ขาย) สุทธิตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2021 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 แยกตามกลุ่มนักลงทุน โดยนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิสะสมเป็นบวก ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศเป็นยอดขายสุทธิสะสม
ส่วนกราฟด้านบนขวามือแสดงมูลค่าสะสมของเงินลงทุนใน Exchange Traded Fund (ETF) ที่สำคัญในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งกองทุนเหล่านี้นักลงทุนต่างชาติใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อเกาะติดผลตอบแทนไปกับดัชนี พบว่ามีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิเป็นบวกเช่นกัน
เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนาม มีจำนวนนักลงทุนรายย่อยที่เติบโตเร็วมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อย 7.5 ล้านบัญชี (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2024) หรือคิดเป็นประมาณ 7.5% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เทียบกับของไทยที่ 8% แต่ด้วยจำนวนประชากรของไทยน้อยกว่า ทำให้จำนวนนักลงทุนรายย่อยของเวียดนามนั้นน่าจะใกล้เคียงกับบ้านเรา ทั้งนี้นักลงทุนรายย่อยของเวียดนามส่วนใหญ่มีพฤติกรรมซื้อขายหุ้นในลักษณะของการเก็งกำไร รวมทั้งมีบทบาทในตลาดหุ้นมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 90% ดังนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคนับเป็นเครื่องมือในการเข้าออกตลาดหุ้นเวียดนามได้ดีพอสมควร
ส่วนเศรษฐกิจเวียดนาม ในระยะยาวยังคงขับเคลื่อนแบบเดียวกับประเทศที่กำลังพัฒนา แต่มีการเติบโตของ GDP สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จากขนาดประชากรที่ใหญ่ราว 97 ล้านคน (มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์) ทั้งนี้เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6% และคาดว่าในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า จะยังโตในลักษณะนี้ อีกทั้งลักษณะประชากรของเวียดนามส่วนใหญ่ยังเป็นวัยทำงาน มีทั้งกำลังซื้อและความต้องการบริโภคจับจ่ายใช้สอยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แตกต่างจากประเทศอื่นในอาเซียนที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตช้าลง
นอกจากนี้ ธุรกิจต่าง ๆ ยังมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการโยกย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรมมายังภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เกื้อหนุนในแง่การขยายตัวของสังคมเมือง รวมทั้งเป็นปัจจัยบวกดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลั่งไหลเข้ามาจากการที่ประเทศเวียดนามมีต้นทุนค่าแรงที่ถูกโดยเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชีย อีกทั้ง ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศที่เป็น Global Supply Chain นอกจากนี้ยังได้ส้มหล่นจากที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายรายย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้เวียดนามได้ชื่อว่าเป็น Global Manufacturing Hub
ด้านหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลล่าสุดจาก IMF เผยว่าหนี้โดยรวมทั่วไปของรัฐบาลเวียดนามอยู่ที่ 32.7% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 62.9% ของ GDP ทำให้รัฐบาลยังมีช่องว่างสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การขยายตัวของภาคการส่งออก โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกที่เติบโตขึ้นมากกว่า 3 เท่า นอกเหนือจากนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนจากการทำ Free Trade Agreements (FTAs) กับหลายประเทศและภูมิภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเวียดนามขยายตลาดส่งออกได้มากยิ่งขึ้น
Indicators สำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามในตลาดหุ้นเวียดนาม
นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการส่งออกมากที่สุดในอาเซียน โดยเฉพาะคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) ส่วนตัวเลข FDI แสดงการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศชี้ให้เห็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
โอกาสที่สำคัญสุดของตลาดหุ้นเวียดนามที่นักลงทุนต่างรอคอย คือ การได้รับการเลื่อนชั้นจากปัจจุบันที่ถูกจัดอยู่ในตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) มาเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) นั่นหมายถึงเม็ดเงินลงทุนของกองทุนทั่วโลกที่จะหลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน รวมถึงกองทุนรวมและกองทุนบำนาญที่ถูกกำหนดให้ลงทุนได้ตั้งแต่ตลาด Emerging Market ขึ้นไป
นอกจากนี้ ยังมีรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่อีกหลายรายที่เตรียมแปรรูปเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม ทั้งในกลุ่มสื่อสาร พลังงาน และกลุ่มสาธารณูปโภค ที่จะเพิ่ม Market Cap. และสร้างโอกาสในการลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. เวียดนามกำลังร่างกฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงตลาดหุ้นได้มากขึ้น เช่นเดียวกับนักลงทุนท้องถิ่น อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามสามารถถูก Upgrade จากตลาดหุ้นชายขอบ มาเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่
ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีความคล้ายกับการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วไป ได้แก่
คำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม แม้จะมีความผันผวนแต่ก็เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าที่จะเก็งกำไร เนื่องจากพัฒนาการของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนามที่เจริญรอยตามประเทศที่กำลังพัฒนา ที่เรียกว่า “Catch-Up Growth” ที่ประเทศที่มาทีหลังจะได้ผลบวกจากการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และ Know-How จากประเทศที่พัฒนามาก่อน
ดังนั้น การซื้อหุ้นเวียดนามตอนนี้ ก็จะทำให้ได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เหมือนเช่นในอดีต การเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้เปรียบเสมือนการย้อนเวลาไปอดีตเช่นเดียวกับการที่เราเข้าไปซื้อหุ้นไทยเมื่อ 10 หรือ 15 ปีที่ผ่านมา ตอนที่ราคาหุ้น SCC ยังอยู่ที่ 150 บาท หุ้น PTT ที่ราคา IPO 35 บาท หุ้น BBL ที่ 80 บาท หรือหุ้น LH ที่ราคา 5 บาทเมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันจะเห็นว่าผลตอบแทนมีการเติบโตอย่างมาก ดังนั้นเสน่ห์ของตลาดหุ้นเวียดนาม คือการเข้าไปซื้อหุ้นในธุรกิจเดียวกันที่นักลงทุนไทยเคยพลาดโอกาสไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นเหล่านี้ในสมัยก่อน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน